ตามหลักแล้ว ทางผู้จัดการแข่งขันอยากจะเชิญกรรมการ ก็จะติดต่อกรรมการคนนั้นล่วงหน้า และแอบเปิดเผยไปว่ามีตนมีความคิดที่จะเชิญเธอมาเป็นกรรมการ
แต่ช่วงนี้ เธอไม่เห็นผู้จัดการแข็งขันคนไหนมาหาเธอเลย
นัทธียิ้มอ่อนๆ “นายท่านวัชระให้เธอน่ะ และเป็นของขวัญงานแต่งของพวกเราด้วย”
“หื้ม?” วารุณีอึ้ง “นายท่านวัชระเหรอ?”
“ใช่แล้ว ฉันเชิญนายท่านวัชระมาร่วมงานแต่งของเรา แต่ช่วงนี้เขามีงานอื่นต้องไป เลยมาไม่ได้ ดังนั้นก็เลยให้เมธาวีเอานี่มาให้ฉัน” นัทธีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วตอบกลับ
วารุณีขมวดคิ้วเป็นปม “เมธาวีงั้นเหรอ?”
เขาไม่พูดอะไร เธอแทบจะลืมคนคนนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
เมธาวีจองหองหยิ่งยโส ก่อนหน้านี้ยังร่วมมือกับพิชญาใส่ร้ายว่าเธอขโมยสร้อยอยู่เลย ต่อมาก็หาเรื่องเธอที่โรงงานผ้าอีก สุดท้ายยังแย่งชุดราตรีในร้านกับเธออีกด้วย
แน่นอน พวกนี้ยังไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญคือ เมธาวียังมีความคิดแบบนั้นกับนัทธีอีก
เห็นวารุณีไม่พอใจ เมธาวีก็ยิ่งมีความสุขเข้าไปอีก
เห็นได้ชัดว่า เธอชอบที่เห็นท่าทีหึงหวงของวารุณี
“วารุณี นี่คือเมธาวี เป็นหลานสาวของนายท่านวัชระเหรอ?” ปาจรีย์เอ่ยถาม
วารุณีตอบ “ใช่แล้ว”
ต่อมา เธอก็มองดูนัทธีแล้วถามว่า “หล่อนไปหานายที่บริษัทเหรอ?”
“ใช่” นัทธีพยักหน้า
วารุณีกัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าไม่สบายใจกว่าเดิม
นัทธีเห็นแล้วก็รีบจับมือเธอไว้ แล้วดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอดและให้เธอนั่งบนตักตัวเอง
ปาจรีย์ที่เห็นแล้วก็แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็รีบปิดตาเด็กๆสองคนไว้ “พอแล้วๆ พวกหนูจะดูไม่ได้นะ”
“แม่บุญธรรมฮะ!” อารัณเอามือของปาจรีย์ออก
ไอริณก็เหมือนกัน
แต่ปาจรีย์ปิดไว้แน่นมาก ไม่ยอมปล่อยมือ สุดท้ายเธอก็จำใจต้องลากเด็กสองคนออกจากห้องทำงาน ให้วารุณีกับนัทธีอยู่กันสองคนด้านใน
วารุณีรู้ว่าปาจรีย์อยากให้เธอกับนัทธีอยู่กันสองต่อสอง ในใจก็ทั้งซาบซึ้งและตลก
นัทธีรู้สึกพอใจกับการกระทำของปาจรีย์มาก เขามองวารุณีแล้วพูดว่า: “วางใจได้ ระหว่างฉันกับเมธาวีไม่มีอะไรหรอก และเมธาวีในตอนนี้ก็เปลี่ยนไปแล้วด้วย หล่อนไม่ได้มาตามรังควานฉันแล้วล่ะ”
“ยังไงกัน?” วารุณีกะพริบตาอย่างตกใจ
นัทธีเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ที่เจอกับเมธาวีทั้งหมดออกมา
วารุณีได้ยินแล้วก็อึ้งเหมือนกัน “พระเจ้า!! หล่อนเปลี่ยนไปเยอะขนาดนั้นเชียว?”
เมธาวีที่นัทธีเพิ่งพูดถึงไปนั้น ไม่เหมือนกับที่วารุณีรู้จักเลย แทบจะเป็นคนละคนกันแล้ว
นัทธีจัดเผ้าผมให้เธอ “เปลี่ยนไปเยอะมาก แล้วยังเตือนให้ฉันระวังจุ๊บแจงด้วยนะ”
วารุณีพูด “รู้สึกเหมือนวิญญาณสลับร่างกันเลย”
“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องคนอื่นแล้ว” นัทธีวางมือลงบนหัวเธอเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด: “ฝ่ายเธอเชิญแขกคนไหนบ้าง?”
เขาถามเรื่องงานแต่ง
วารุณีเอนหัวลงบนไหล่กว้างของเขา “ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ ก็เลยเชิญพวกนักออกแบบที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน แล้วก็มีพวกเชอรีนอีกด้วย นายล่ะ?”
“ก็เป็นพวกนักธุรกิจที่ร่วมงานด้วยกัน” นัทธีตอบ
เขาก็เหมือนกับเธอ ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่
และพวกเขายังไม่มีญาติอะไรด้วย
แต่ยังดีที่พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน!
ทั้งสองอยู่ในห้องทำงานกว่ายี่สิบนาที ปาจรีย์ก็เคาะประตู “วารุณี อาหารที่เธอสั่งได้แล้วนะ”
“โอเค ฉันรู้แล้ว” วารุณีพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นจากอ้อมกอดของนัทธี “ไปกันเถอะ ไปกินข้าวกัน ไม่ได้กินข้าวนานขนาดนี้ กระเพาะนายรับไหวเหรอ?”
ว่าแล้ว เธอก็ดึงมือเขาแล้วลากเขาออกจากห้องทำงาน ไปห้องอาหารที่รองรับพนักงานโดยเฉพาะ
เพราะตอนนี้ยังเป็นเวลาทำงาน ห้องอาหารเลยไม่มีคนอื่น และเงียบมากด้วย
ตอนที่วารุณีดึงนัทธีเข้าไป ด้านในก็มีแค่ปาจรีย์แล้วเด็กสองคน
ปาจรีย์กำลังจัดโต๊ะอยู่ เด็กสองคนก็ถือช้อนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตาจ้องอาหารบนโต๊ะโดยไม่ละสายตาเลย
แม้พวกเขาจะกินอาหารกลางวันมาแล้ว แต่อาหารในร้านทั่วไปไม่ค่อยมีรสชาติเท่าไหร่ เพราะเป็นอาหารโภชนาการ ดังนั้นพวกเขาเลยไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่
ตอนนี้หม่ามี๊สั่งมาเยอะขนาดนี้ แถมยังเป็นของที่พวกเขาชอบกินอีก พวกเขาก็ต้องกินเยอะหน่อยแล้วล่ะ
“หม่ามี๊ พ่อค่ะ มากินข้าวกันเร็ว” ไอริณเห็นวารุณีกับนัทธีก่อน เธอก็รีบกวักมือตะโกนเรียกอย่างเร็ว
วารุณีหัวเราะแล้วพยักหน้า “มาแล้วจ้ะ”
ทั้งสองเดินไปนั่งบนเก้าอี้
ปาจรีย์ยื่นตะเกียบให้พวกเขา
วารุณีปัดมือ “ฉันไม่กินดีกว่า ตอนนี้ยังไม่หิวเท่าไหร่ ปาจรีย์เธอหิวไหม? ถ้าเธอหิวล่ะก็ กินด้วยกันเลยก็ได้นะ?”
“ฉันก็ไม่หิวหรอก ฉันแค่มาช่วยจัดอาหารเอง” ปาจรีย์ตอบด้วยรอยยิ้ม
ล้อเล่น ถึงแม้เธอจะหิว เธอก็ไม่กล้านั่งกินกับประธานนัทธี ในขณะที่วารุณีไม่กินหรอกนะ
เดี๋ยวจะยุ่งกันไปหมด
“เอาล่ะ พวกเธอกินด้วยกันเถอะ ฉันไปทำบัญชีก่อน” ปาจรีย์พูดจบก็เช็ดมือแล้วเดินออกไปทันที
ในห้องอาหารเหลือแค่ครอบครัวสี่คน
นัทธีคีบผักให้เด็กสองคนก่อน จากนั้นก็มองดูวารุณี “กินหน่อยไหม?”
“ฉันไม่หิวจริงๆ อีกอย่างตอนนี้ฉันยังกินยาอยู่เลยนะ ต้องจำกัดการกิน จะกินเยอะไม่ได้ ดังนั้นฉันดูพวกนายกินดีกว่า” วารุณีพูดตอบ
นัทธีพยักหน้า และไม่ได้พูดโน้มน้าวอีก
ตอนนี้เธอต้องจำกัดการกิน ถ้าบังคับให้เธอกิน เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมา คนที่เสียใจก็ต้องเป็นเขาอยู่ดี
สามพ่อลูกเริ่มกินข้าว
วารุณีมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
สำหรับเธอแล้ว สามพ่อลูกตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ก็เป็นภาพที่สวยมากในสายตาเธอเสมอ
พอกินข้าวเสร็จ นัทธีก็รีบโทรศัพท์แล้วออกไปจากที่นี่ แล้วรีบไปประชุมที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปทันที
เด็กสองคนก็ให้อยู่กับวารุณี รอตอนเลิกงานแล้วก็ค่อยกลับพร้อมกันกับวารุณี
“วารุณี” ตอนนี้เอง ปาจรีย์ก็ขมวดคิ้ว ถือเอกสารเข้ามาในห้องทำงานของวารุณี
วารุณีกำลังเล่นเกมอยู่กับเด็กสองคน เห็นท่าทางเข้มงวดของปาจรีย์ เธอก็ลูบหัวเด็กสองคน แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงานตัวเอง
“มีอะไรเหรอ?” วารุณีดึงเก้าอี้มานั่ง แล้วถามอย่างสงสัย
ปาจรีย์พูดตอนที่วารุณีนั่งลงแล้ว “เมื่อกี้ฉันไปตรวจบัญชีมา จากนั้นฉันก็เห็นว่าเงินที่ต้องให้ประธานจรณ์ในช่วงสองสามไตรมาสที่ผ่านมา ยังไม่ได้ส่งไปเลย พอไปถามแผนกการเงิน หัวหน้าแผนกการเงินบอกว่าติดต่อเลขาฯเสกข์ของประธานจรณ์ไม่ได้เลย และบัญชีธนาคารที่ประธานจรณ์ให้ไว้ก่อนหน้านี้ก็ถูกระงับไปแล้วด้วย ดังนั้นเงินก้อนนี้เลยไม่ได้ส่งให้ประธานจรณ์สักที”
“ที่เธอพูดถึงคือเงินปันผลเหรอ?” วารุณีเปิดเอกสารดู
ปาจรีย์พยักหน้า “ใช่ ที่บริษัทพวกเราเปิดมาได้จนถึงตอนนี้ เป็นเพราะมีประธานจรณ์คอยลงทุน เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทเราด้วย แต่เงินปันผลที่ต้องให้เขา กลับให้ไม่ได้สักที เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งติดต่อเลขาฯเสกข์ไป เห็นว่าเขาเปลี่ยนเบอร์ไปแล้วด้วย ติดต่อไม่ได้เลย เธอว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันยังไม่เคยเห็นหุ้นส่วนคนไหนไม่สนใจเงินปันผลเท่านี้มาก่อนเลย”
วารุณีเปิดเอกสารแล้วเงียบ
ประธานจรณ์คนนี้ ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณสำหรับเธอและปาจรีย์เลยล่ะ
ในตอนที่เธอเพิ่งกลับประเทศได้ไม่นาน แถมยังเป็นเด็กใหม่ด้วย เขามาหาเธอและอยากให้เธอเป็นหัวหน้านักออกแบบในหัวข้อGlory of the sun and the moon
ต้องรู้ว่าโครงการ Glory of the sun and the moon เป็นงานที่ไม่แพ้ Bath fire rebirth
ขอถามหน่อยว่ามีเจ้านายคนไหนตัดสินใจเด็ดขาด อยากให้นักออกแบบเด็กใหม่ มาทำหน้าที่เป็นหัวหน้านักออกแบบในโครงการที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ นอกจากนัทธีแล้ว ก็คือประธานจรณ์นี่แหละ
และ Glory of the sun and the moon ก็นำมาซึ่งชื่อเสียงและข้อได้เปรียบให้เธอหลายอย่าง ทำให้เธอได้รับตั๋วโควตาการแข่งขันของสมาคม และยังได้รับตั๋วเข้างานการแข่งขันระดับนานาชาติอีกด้วย