“ครับคุณหนูเมธาวี”บอดี้การ์ดทั้งสองปล่อยมือที่กั้นหน้าประตูลิฟต์ลงทันที ให้เมธาวีเข้าไป
เมธาวีกำลังกดลิฟต์ มือก็ถูกจุ๊บแจงดึงไว้“เดี๋ยวค่ะ ทำไมเธอเข้าไปได้?”
จุ๊บแจงถามบอดี้การ์ดทั้งสองคนด้วยใบหน้าไม่พอใจ
สายตาที่บอดี้การ์ดทั้งสองมองเธอ เหมือนมองคนโง่
สุดท้ายหนึ่งในบอดี้การ์ดก็ยืนออกมาพูด:“ทำไม?เพราะว่าคุณหนูเมธาวีได้รับอนุญาต ดังนั้นเธอขึ้นไปได้ แต่คุณไม่เหมือนกัน คุณไม่ได้รับอนุญาต แค่พนักงานแผนกทำความสะอาดคนหนึ่ง พนักงานเฝ้าก็บอกแล้ว พนักงานทั่วไปเข้าลิฟต์เฉพาะไม่ได้ คุณจำไม่ได้เหรอ?”
“ฉัน……”จุ๊บแจงกระอักกระอ่วน
เธอจำได้อยู่แล้ว แต่เธอไม่พอใจ
เรื่องอะไรที่พนักงานทั่วไปใช้ลิฟต์เฉพาะไม่ได้
ถึงแม้จุ๊บแจงอยากพูดคำนี้ออกมา แต่เธอก็รู้ว่า ถ้าถามออกไป กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นตัวเองที่เสียเปรียบ
“เธอคือใคร?”ตอนนี้เอง เมธาวีมองไปที่จุ๊บแจง ใบหน้าเย่อหยิ่งนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจ
จุ๊บแจงมองเธอที่สวมแบนด์เนมทั้งตัว แล้วจึงมองชุดทำความสะอาดของตัวเอง ในใจก็รู้สึกแอบต่ำอย่างมาก
เธอพบว่า ตั้งแต่ตัวเองออกมาจากหมู่บ้านมาที่นี่แล้ว เธอเห็นผู้หญิงที่อายุพอๆกับตัวเอง แต่งตัวดีทุกคน ไม่เหมือนตัวเอง……
“นี่ ฉันถามเธอนะ!”เมธาวีเห็นจุ๊บแจงลังเลไม่ยอมพูด กลับมีใบหน้าดูน้อยใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
จุ๊บแจงได้ยินคำถามเสียงดังของเธอ ในที่สุดก็ได้สติคืนมา“ฉัน……ฉันชื่อจุ๊บแจง”
“จุ๊บแจงใช่ไหม?”เมธาวีหรี่ตาลง
จุ๊บแจงพยักหน้า“ค่ะ”
“งั้นเธอยังไม่เอามือออกไปอีก!”เมธาวีกระทืบเท้า
จุ๊บแจงจึงมีปฏิกิริยาตอบกลับ ว่าตัวเองยังจับมือของอีกฝ่ายอยู่ จึงรีบปล่อยมือ“ขอโทษค่ะๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
เธอแค่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้จะเข้าลิฟต์ จึงคว้ามือของผู้หญิงคนนี้อย่างไม่รู้ตัว อยากหยุดการเข้าไปของเธอ
คิดไม่ถึงว่าจะคว้าไว้แล้วลืมปล่อย
เมธาวีสะบัดข้อมือตัวเองออกอย่างหงุดหงิด“บ้าจริงๆ จู่ๆมาจับมือของฉัน ใครจะรู้บ้างว่าเธอไม่ได้จับสิ่งสกปรกมา”
ได้ยินคำนี้ จุ๊บแจงก็ไม่สบายใจทันที กัดริมฝีปาก มองเมธาวีอย่างโมโห“คุณผู้หญิงท่านนี้คะ คุณมากเกินไปแล้ว ถึงฉันเป็นพนักงานทำความสะอาด คุณก็ดูถูกฉันแบบนี้ไม่ได้ พวกเราเป็นคนเหมือนกัน เท่าเทียมกัน ทำไมคุณต้องว่าฉันว่าสกปรกด้วย!”
เมธาวีมีเครื่องหมายคำถามทั่วหน้า
ถึงแม้เธอจะรู้ว่าตัวเองหยิ่ง บางครั้งความคิดไม่เหมือนคนอื่น
แต่คิดไม่ถึงว่า จู่ๆวันหนึ่ง เธอจะได้เจอคนที่สมองมีปัญหาและก็ไม่ปกติกว่าตัวเอง!
“นี่ สมองเธอมีปัญหาเปล่า?”เมธาวีกอดอก ขมวดคิ้วสำรวจจุ๊บแจง“ฉันบอกเธอเมื่อไหร่ว่าเธอสกปรก ฉันแค่บอกเผื่อมือเธอ!”
“ร่างกันเป็นหนึ่งเดียวกัน คุณบอกว่ามือฉันสกปรก ไม่ได้บอกว่าฉันสกปรกเหรอ?”เบ้าตาของจุ๊บแจงชื้น
เมธาวีโมโหสุดๆ จากนั้นกระทืบเท้าด้วยความโกรธ“ได้ ฉันเถียงเธอไม่ได้ งั้นฉันไม่พูดละโอเคไหม รีบถอยไปให้ฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะเข้าไป!”
“ฉันไม่หลีก!”จุ๊บแจงไม่ไป“เธอจะขึ้นลิฟต์ ก็ขึ้นลิฟต์ธรรมดาไปสิ ทำไมต้องขึ้นตัวนี้?”
ยังไงเธอก็ไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้เข้าไป
เมธาวีโกรธแทบบ้า“เธอบ้าเหรอ ฉันจะขึ้นไปชั้นบนสุด ให้ไปขึ้นลิฟต์ธรรมดา?”
“คุณจะขึ้นไปชั้นบนสุด?”จุ๊บแจงตาเบิกโตมองเมธาวีทันที
เมธาวีคิดว่าเธอกลัว ก็ส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชาด้วยความภูมิใจ“ตอนนี้รู้แล้วว่าฉันจะขึ้นไปชั้นบนสุด งั้นเธอยังไม่รีบหลีกทางฉันอีก!”
“ไม่!”จุ๊บแจงพูดปฏิเสธ
ผู้หญิงคนนี้จะขึ้นไปชั้นบนสุด เธอให้ผู้หญิงคนนี้ขึ้นไปไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้ต้องพุ่งเป้าไปที่นัทธีแน่!
เมธาวีตกตะลึง จ้องจุ๊บแจงด้วยสายตาประหลาด
ผู้หญิงคนนี้สมองมีปัญหาจริงๆ รู้ว่าเธอจะขึ้นไปชั้นบนสุด แต่ไม่ให้?
บอดี้การ์ดทั้งสองมองการโต้เถียงของผู้หญิงสองคนนี้ในสายตา
เห็นจู่ๆจุ๊บแจงมาหยุดเมธาวีขึ้นไปชั้นบนสุด ก็รู้ว่าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ทั้งสองคนสบตากัน ลงมือพร้อมกัน
คนหนึ่งดึงจุ๊บแจงไปไว้ข้างๆ อีกคนกดลิฟต์ให้เมธาวี“เชิญคุณหนูเมธาวี ประธานรอคุณอยู่ชั้นบน ส่วนผู้หญิงคนนี้ คุณไม่ต้องสน เธอโรคจิต เธอชอบประธานของพวกเรา ฝันอยากจะยกระดับตัวเองขึ้นมา ทั้งตึกเรารู้กันหมด ที่พวกเราสองคนเฝ้าอยู่ตรงนี้ ก็เพื่อไม่ให้เธอแอบไปคุกคามประธาน”
พอได้ยิน เมธาวีก็คิดขึ้นมาได้ทันที
หลายวันนี้ แผนกออกแบบมีคนพูดถึงพนักงานสาวของแผนกทำความสะอาดตลอด บอกว่าพนักงานสาวคนนั้นคิดอะไรกับประธานนัทธี
ที่แท้ก็เธอเอง!
สายตาที่เมธาวีมองจุ๊บแจงก็ยิ่งรังเกียจ
จุ๊บแจงสัมผัสเข้ากับดวงตาของเธอ ในใจก็ยิ่งรู้สึกด้อยกว่าอย่างรุนแรง
แต่รุนแรงแค่ไหน ก็สู้ความโมโหในใจไม่ได้
เดิมทีบอดี้การ์ดพวกนี้เฝ้าอยู่หน้าลิฟต์ ไม่อยากให้เธอขึ้นไป
บอดี้การ์ดพวกนี้ทำมากเกินไปแล้ว รอก่อนเถอะ รอเธอเจอนัทธี จะให้เขาไล่บอดี้การ์ดพวกนี้ออกไป!
เมธาวีไม่รู้ว่าในใจของจุ๊บแจงกำลังคิดอะไรอยู่ เดินไปตรงหน้าจุ๊บแจง เหลือบมองเธอหัวจรดเท้า ยิ่งมองความดูถูกในใจก็ยิ่งชัดมากขึ้น
เธอเบะปากพูดว่า:“ก่อนหน้านี้ฉันยังคิดอยู่เลยว่าพรักงานทำความสะอาดคนไหนกันนะที่ไม่สำเหนียกตัวเองขนาดนี้ ที่แท้ก็เธอเอง ฉันว่าเธอหน้าตาก็ไม่ได้ดี หุ่นก็แย่ เป็นพนักงานทำความสะอาดได้ ก็น่าจะไม่มีชาติตระกูล แล้วยังมากล้าจินตนาการถึงประธานนัทธี ไร้ยางอาย เธอไม่ดูตัวเองเลยว่าคู่ควรไหม! ฉันทายาทตระกูลแววสูงเนินผู้สูงส่งก็ยังไม่ได้ประธานนัทธี แล้วเธอเนี่ยนะจะได้ ฝันไปเถอะ!”
สรุปคือเทียบกับผู้หญิงคนนี้แล้ว จู่ๆเธอก็พบว่าตัวเองยอมรับได้ว่าวารุณีได้ประธานนัทธีไป
อย่างน้อยใบหน้าของวารุณีก็ดูดีจริงๆ
และวารุณีก็ยังได้รับอันดับสามของการแข่งขันระดับนานาชาติ!
เธอไม่ใช่เมธาวีที่ไม่มีสมองเหมือนเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว ที่รู้จักแต่ความริษยา ทำอะไรก็ประมาท เย่อหยิ่งและไร้เหตุผล
หลังจากผ่านการสอนจากคุณปู่มาครึ่งปี เธอก็คิดอะไรได้หลายอย่างแล้ว
เธอรู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองโง่แค่ไหน รู้ว่าถ้าตัวเองเป็นแบบนี้ต่อไป จะต้องมีวันหนึ่ง ที่ตระกูลแววสูงเนินจะพังทลายลงในมือของเธอ และในฐานะทายาทรุ่นที่สามเพียงคนเดียวแห่งตระกูลแววสูงเนิน ถ้าเธอให้ตระกูลแววสูงเนินทลายลงในเงื้อมมือของตัวเอง งั้นเธอก็เป็นผู้ร้ายของตระกูลแววสูงเนิน ถึงตอนนั้นปู่พ่อแม่ก็จะเกลียดเธอไปทั้งชาติ
ดังนั้นเธอในตอนนี้ ถึงแม้นิสัยจะยังเย่อหยิ่ง แต่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไม่แคร์อะไรเลย ซึ่งก่อนทำอะไรก็จะคิดว่าต่อไปจะทำอย่างไรก่อน แบบไหนที่ไม่ส่งผลต่อตระกูลแววสูงเนิน
นอกจากนี้แล้ว เธอก็ไม่รู้สึกอะไรกับนัทธีแล้ว เพราะเธอรู้แล้วว่า เธอกับนัทธีเป็นไปไม่ได้ นัทธีไม่สนใจเธอ เธอชอบเขาแค่ไหน ก็ไม่ได้เขามา สู้ลืมเขาดีกว่า ให้เขาคบกับวารุณี
พูดอีกอย่าง ภายนอกของวารุณีก็คู่ควรกับเขาจริงๆ และลูกทั้งสองคนของวารุณีก็ยังเป็นลูกแท้ๆของเขา เธอจึงยิ่งไม่สนใจนัทธี เธอไม่อยากเป็นแม่เลี้ยง สู้เติมเต็มให้พวกเขาดีกว่า
และคุณปู่ก็บอกแล้วว่า วารุณีเป็นคนในประเทศที่จะเป็นดีไซเนอร์อันดับต้นๆได้มากที่สุด ตระกูลแววสูงเนินไม่สามารถปลูกฝังดีไซเนอร์ที่ดีได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าตระกูลแววสูงเนินยังจะเดินอยู่ในแวดวงธุรกิจเสื้อผ้าอีก ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะติดต่อกับดีไซเนอร์ฝีมือดี หมายความว่า ในอนาคตตระกูลแววสูงเนินยังต้องร้องขอวารุณี
ตอนนี้เธอที่สมองปลอดโปร่ง ก็เข้าใจว่าทำให้วารุณีขุ่นเคืองไม่ได้ แต่คนที่คิดไม่ซื่อกับนัทธี และยังไม่รู้จักสำเหนียกตัวเอง เธอก็ไม่ต้องกังวลแล้ว