“เพราะพวกเธอต่างก็เจียมเนื้อเจียมตัว ถึงพวกเธอรักท่านประธาน แต่พวกเธอก็ไม่ไปคิดสิ่งที่ไม่ควรคิด คุณผู้หญิงเลยไม่หึง ไม่ถือสา ท่านประธานก็ไม่เกลียดพวกเธอ เพราะนี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ว่าคุณไม่เหมือนกัน”
มารุตมองเธออย่างเหน็บแนม “ตั้งแต่แรกคุณก็มีความทะเยอะทะยานต่อท่านประธาน ไม่งั้นก็ไม่ซ่อนท่านประธานไว้ ไม่อยากให้ท่านประธานถูกพวกเราหาตัวเจอ ยิ่งไม่ตามมาถึงบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปไล่ยังไงก็ไล่ไม่ไป คุณอยากเป็นมือที่สาม อยากได้ตำแหน่งของคุณผู้หญิง คุณตอแยท่านประธานอยู่เป็นประจำ พูดคำพูดที่ยุยงปลุกปั่นความสัมพันธ์ของท่านประธานกับคุณผู้หญิง แม้กระทั่งเมื่อวานยังอยากทำลายงานแต่งของท่านประธานกับคุณผู้หญิงด้วย”
“ฉัน……ฉันไม่ได้ ฉันเปล่า……”จุ๊บแจงหน้าซีด ส่ายหัวอยากจะอธิบายว่าตัวเองไม่ได้มีความคิดแบบนี้
แต่มารุตไม่ให้โอกาสเธอเลย “ไม่ คุณมีความคิดแบบนี้ แต่แค่คุณชินกับการโกหกหลอกคนอื่นและหลอกตัวเองเฉยๆ พวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่าคุณเป็นคนยังไง มีแค่ตัวคุณเองที่ไม่ยอมรับ ก่อนหน้านี้คุณเคยราวีท่านประธานอยู่หลายครั้ง ท่านประธานเห็นแก่บุญคุณที่คุณมีต่อเขา ไม่ตำหนิเอาผิดกับเรื่องในอดีตและได้ปล่อยคุณไป แต่ไม่นึกเลยว่าคุณจะได้คืบจะเอาศอกอยากทำลายงานแต่งของท่านประธาน นี่ทำให้ท่านประธานทนคุณไม่ได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้น คุณรีบย้ายออกไปซะ”
พอมารุตพูดจบก็ไม่ได้สนใจเธออีก ได้ยกฝีเท้าเดินจากไปโดยตรง
จุ๊บแจงยืนเอ๋ออยู่กับที่ ในหัวมีแต่คำพูดของมารุต
เธอถือว่าเข้าใจสักที ที่แท้เธอถูกไล่ออกล้วนเกิดจากการกระทำของเธอเอง
ความสำนึกผิดที่ใหญ่โตโผล่ขึ้นมาที่ใจ ได้กดทับจุ๊บแจงจนเกือบจะหายใจไม่ออก
เธอมองกระเป๋าเดินทางของตัวเอง แล้วมองหญิงวัยกลางคนที่กำลังล็อคประตูอยู่ แววตาเต็มไปด้วยความสับสน
ถูกไล่ออกจากบริษัทเสียงานไป ตอนนี้แม้แต่ที่พักก็ได้เสียไป แถมมีเงินติดตัวอยู่ไม่เท่าไหร่เลย เธอควรจะทำยังไงดี?แล้วจะไปพักที่ไหนได้?
เดิมทีเธอคิดอยู่ว่าถึงเสียงานไป ขอแค่ที่พักยังอยู่ เธอหางานอยู่ที่แถวบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป พอแบบนี้ ก็ยังสามารถเจอหน้านัทธีบ่อยๆอยู่
แต่ตอนนี้แม้แต่ที่พักก็ไม่มีแล้ว แผนการของเธอถูกทำลายหมด จนไม่รู้ควรจะทำยังไงแล้วในชั่วขณะ?
กลับบ้านเกิด?
พอนึกถึงบ้านเกิดที่เก่าโทรมของตัวเอง แล้วมองคอนโดหรูหราสะดวกสบายของตรงหน้านี้ สำหรับคำว่ากลับบ้านเกิดคำนี้ ในใจเธอเต็มไปด้วยการต่อต้าน
เธอไม่อยากกลับไป กลับไปก็ไม่ได้เจอหนันัทธีแล้ว อีกอย่างพอกลับไปเธอก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
จะทำยังไงดี?
เธอควรจะทำยังไงดี?
จุ๊บแจงเอามือกุมหน้าไว้และร้องไห้สะอึกสะอื้น
อีกฝั่งนึง มารุตกลับมาถึงบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ได้บอกเรื่องที่เจอจุ๊บแจงให้กับนัทธีฟัง
นัทธีกำลังเคลียร์เอกสารอยู่ หลังจากฟังจบแล้วได้ตอบอย่างเรียบเฉยคำนึง ไม่ได้พูดอย่างอื่นอีก เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจเรื่องของจุ๊บแจงเลย
“ส่งลูกน้องสองคนไปแอบจับตาดูเธอเอาไว้ สุดท้ายใช้แผนการให้เธอกลับบ้านเกิดโดยเร็ว อย่าอยู่ที่จังหวัดจันทร์อีก รำคาญ!” นัทธีปิดแฟ้มเอกสารแล้วพูด
มารุตพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ”
“อีกอย่างนึง วันฮันนีมูนของฉันกับวารุณีได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว อีกสามวันออกเดินทาง เมืองและประเทศที่ตัดสินใจไป ฉันได้สรุปแล้วส่งไปที่อีเมลของนายแล้ว นายรีมาร์คสถานที่ๆค่อนข้างมีชื่อเสียงออกมา แล้วจัดเตรียมโรงแรมที่เหมาะสมให้เสร็จแล้วส่งมาให้ฉัน” นัทธีเงยหน้ามองมารุตแว๊บนึง
มารุตแสยะยิ้มมุปาก “ครับ ผมรู้แล้วครับ”
เหอะ ฮันนีมูนวิเศษวิโสมากงั้นเหรอ!
เดี๋ยวรอให้เขาแต่งงานกับเชอรีนก่อนเหอะ ก็จะไปฮันนีมูนเหมือนกัน
“ไม่มีอะไรแล้ว นายออกไปก่อน เดี๋ยวรอเดือนหน้าฮันนีมูนเสร็จ นายสามารถพาผู้ช่วยใหม่ของนายให้มารับช่วงต่อจากนายแล้ว” นัทธีได้พูดอีก
มารุตได้ยินคำนี้แล้ว ใบหน้ามีความตื่นเต้นที่หยุดไม่ได้ “ขอบคุณท่านประธานครับ”
สามารถพาผู้ช่วยใหม่มา ซึ่งหมายความว่าขอแค่พาผู้ช่วยใหม่มารับภาระหน้าที่การงานของเขา เขาก็สามารถไปเป็นประธานที่บริษัทย่อยของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว พอแบบนั้น เขาก็ไม่ต้องใช้ชีวิตย่ำแย่ที่ตื่นเช้ากว่าไก่ นอกดึกกว่าหมา พอบอสมีธุระ กลางดึกก็ยังต้องทำโอทีแบบนี้อีกแล้ว
เขาเองก็สามารถให้ผู้ช่วยของตัวเองนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่แล้ว
แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาก็จะมีเวลามากมายอยู่กับเชอรีนแล้ว พอแบบนี้ งานแต่งก็สามารถกำหนดการวันเวลาแล้ว พอปัดเศษตัวเลขให้เป็นจำนวนเต็มๆแล้ว งั้นฮันนีมูนกับคลอดลูกออกมาก็ไม่ไกลแล้ว
สรุปไม่ว่าคิดยังไง ล้วนเป็นอนาคตที่สวยงาม
มองรอยยิ้มที่หยุดไม่ได้ในแววตาของมารุต นัทธีไม่อยากดูเลย ได้ปัดมือให้เขาออกไป
มารุตหัวเราะแหะๆสองที แล้วไปจากออฟฟิศของท่านประธาน
เวลาผ่านไปไวมาก สามวันต่อมา นัทธีกับวารุณีก็ได้ก้าวเข้าสู่การฮันนีมูน
พวกเขาไม่ได้นั่งเที่ยวบินธรรมดา แต่ได้นั่งเครื่องบินส่วนตัวโดยตรง
นัทธีได้เปลี่ยนจากการใส่ชุดสูทของวันปกติ มาใส่เป็นชุดลำลองแทน
เสื้อผ้าเหล่านี้วารุณีเป็นคนออกแบบ
และตัดเย็บให้เขาเองหมด ตั้งหลายสิบชุดเชียว แต่เขาไม่เคยใส่เลย ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะ แต่ว่าปกติงานยุ่งเลยไม่มีโอกาสได้ใส่
ตอนนี้ได้ใส่แล้ว ถือว่าให้วารุณีได้สมปรารถนาอย่างนึงแล้ว
เธอมองดูผู้ชายที่นั่งจิบไวน์ และกำลังดูแนวทางการเดินทางที่มารุตส่งมาให้แล้วยิ้มตาหยี
นัทธีรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองตัวเอง จึงเงยหน้าขึ้นมามองเธอ “มีอะไรครับ?”
วารุณีเอามือท้าวคาง “ไม่มีอะไรค่ะ แค่รู้สึกว่าคุณหล่อจังเลย!”
ผู้ชายที่ใส่ชุดลำลองไว้ มีความสูงส่งของปกติกับความเย่อหยิ่งที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้น้อยลง มีความละมุนมากขึ้นเสี้ยวนึง
สรุปก็คือ หล่อไปอีกแบบนึง!
นัทธีฟังคำชมของวารุณีแล้วได้ยกมุมปากขึ้น จากนั้นได้วางไวน์ลง แล้วยื่นมือดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด “งั้นคุณก็ดูเยอะๆหน่อย”
เขาก้มหน้า เอาหน้าเข้าไปใกล้ให้เธอดู
วารุณีกลอกตาขาวทีนึง ค่อนข้างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่เธอก็ไม่ได้ผลักเขาออก แต่ได้กอดคอเขา แล้วเป็นฝ่ายจูบริมฝีปากบางของเขา
นัทธีได้อึ้งก่อน จากนั้นมีแสงสลัวแว๊บเข้าตา ได้เปลี่ยนจากฝ่ายรับมาเป็นฝ่ายรุก งัดริมฝีปากของเธอออกแล้วใช้แรงจูบขึ้นมา
แอร์โฮสเตสที่อยู่ไม่ไกล ได้เข็นรถเข็นไว้เตรียมมาส่งของทานเล่น พอเห็นภาพนี้แล้วหน้าแดงพร้อมรีบถอยออกไปทันที
หางตาของนัทธีเห็นท่าทางของแอร์โฮสเตสแล้ว แววตามีความพึงพอใจแว๊บผ่านเสี้ยวนึง
ลูกเรือที่สายการบินจัดเตรียมให้เขาไม่เลวเลย รู้จักกาลเทศะดี
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ วารุณีได้ถูกนัทธีปลุกจนตื่น
เธอลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ “มีอะไรคะ?”
“ถึงแล้ว”นัทธีจัดผมที่ใบหน้าเธอให้เรียบร้อย พร้อมเตือนด้วยเสียงอ่อนโยน
วารุณีอดทนกับความปวดเมื่อยของช่วงเอวแล้วลุกมานั่งจากอ้อมกอดเขา “ถึงแล้วเหรอคะ?”
“อืม” นัทธีพยักหน้า
พวกเขาอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว ไม่ต้องเหมือนผู้โดยสารของเที่ยวบินธรรมดา
อย่างนั้น ที่เครื่องบินจอดปุ๊บก็ต้องลงจากเครื่องทันที
ขอแค่พวกเขาอยาก สามารถอยู่บนเครื่องได้นานมาก
แต่ยังไงบนเครื่องก็สบายสู้ห้องนอนของโรงแรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาถึงได้ปลุกวารุณีให้ตื่น
วารุณีบีบนวดคอไปครู่นึง จ้องผู้ชายอย่างคับแค้นใจแว๊บนึง
เขาทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่ตอนหลังเขาดันจะเอา เธอก็ไม่เผลอหลับไปหรอก วิวของระหว่างทางก็ยังไม่ได้ดูเลย
นัทธีอ่านแววตาของเธอออก ได้แสยะยิ้มมุมปากแล้วดึงมือเธอไว้ “ไปกันเถอะ ลงเครื่องแล้ว เดี๋ยวเครื่องบินจะขับเข้าไปบำรุงที่โรงเก็บเครื่องบินอีก”
“ค่ะ”วารุณีพยักหน้า จากนั้นได้ลุกขึ้นเดินตามหลังเขาไปที่ประตูห้องโดยสาร
ภายใต้การอำลาของลูกเรือ ทั้งสองได้ลงจากเครื่อง
พนักงานรับส่งที่มารุตจัดเตรียมไว้ ได้ขับรถมารับถึงที่ลานจอดเครื่องบินโดยตรงเลย
ทั้งคู่นั่งรถไปจากสนามบินมุ่งหน้าสู่โรงแรม
ตอนนี้ค่ำแล้ว วิวของด้านนอกสวยงามมาก
วารุณีหมอบดูอยู่ที่กระจกรถอย่างไม่ละสายตา ส่วนนัทธีกำลังคุยสายกับมารุตอยู่ รู้สึกเหมือนบริษัทมีเรื่องอะไร
แต่เรื่องน่าจะไม่ใหญ่โต สีหน้าของเขาเพียงพอที่จะแสดงให้เห็น
ไม่นานก็ได้มาถึงโรงแรม
คนขับจอดรถเสร็จ ได้ยื่นคีการ์ดของห้องเพรสซิเด้นท์สูทให้กับนัทธีใบนึงเสร็จ ก็ได้นำรถไปจอดที่ลานจอดของโรงแรมเลย
นัทธีใช้มือข้างนึงลากกระเป๋าเดินทางไว้ ส่วนมืออีกข้างได้จูงวารุณีเดินไปทางประตูของโรงแรม