วารุณีปล่อยมือจากลูกบิดและกลับห้องของตัวเอง
เธอกลัวว่าถ้ายืนอยู่หน้าห้องคนอื่นนานกว่านี้ เดี๋ยวคนใช้เข้ามาเห็นจะเอาเรื่องนี้ไปบอกผู้ชายคนนั้นก็ยุ่งเลย
ถึงคนรับใช้จะซื่อบื้อ แต่เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้คงไม่ซื่อบื้อแน่
พอกลับถึงห้อง วารุณีเปิดไฟ
ไฟสีเหลืองอ่อน ๆทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
แต่เธอก็รู้ ถึงแม้ว่าไฟจำทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย แต่ความรู้สึกนี้ก็ไม่ใช่ความรู้สึกปลอดภัยจริง ๆ
เธอไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนพาเธอมาที่นี่ แล้วมีจุดประสงค์อะไรกันแน่
แต่ที่เธอรู้คือไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ
อันที่จริงเธอสงสัยว่าคนที่พาเธอมาที่นี่คือนิรุตติ์และนวิยา เพราะการเรียกคุณผู้หญิงคุณผู้ชายก็เหมาะที่จะเป้นนิรุตติ์และนวิยา
แค่เธอยังไม่เคยเห็นคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายที่ว่า เธอเลยยังไม่กล้าสรุป
ทุกอย่างต้องรอให้ถึงกลางคืนถึงจะรู้
วารุณีนั่งบนเตียงรอให้ถึงตอนกลางคืนอย่างเงียบ ๆ
รอมาหลายชั่วโมง ในที่สุดฟ้าก็มืดลง
วารุณีได้ยินเสียงใบพัดจากบนคฤหาสน์
เธอรีบลุกขึ้นยืน รีบเดินไปนอกระเบียงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเฮลิคอปเตอร์ที่บินอยู่กลางอากาศ ตาเธอสว่างขึ้นทันใด
เครื่องบินนี่!
ตลอดทั้งวันมานี่เป็นอุปกรณ์สื่อสารแรกที่เธอเห็น แถมยังเป็นเครื่องบินด้วย
ถ้ามีเครื่องบินแล้ว ทางหนีรอดของเธอก็เป็นไปได้
แต่ประเด็นหลักคือเธอขับไม่เป็นนี่สิ!
ความรู้สึกของวารุณีที่ตื่นเต้นเมื่อกี้ค่อยๆหายไป
เธอมองเครื่องบินลงจอดบนพื้นดินอย่างไร้อารมณ์
ประตูถูกเปิดออก ทั้งสองคนโดดลงมาจากด้านใน
คนแรกที่โดดลงมาเป็นผู้หญิง
เพราะระยะทางไกลเกินไปทำให้วารุณีมองผู้หญิงคนนั้นไม่ชัด แต่รูปร่างผู้หญิงคนนั้น ทำให้สีหน้าเธอเปลี่ยนไป
นั่นมัน……นวิยานี่!
การที่เป็นนักออกแบบเสื้อผ้า สำหรับรูปร่างแล้วเธอมีมาตรฐานการวัดเป็นของตัวเอง
สายตาของนักออกแบบแหลมคนมาก แค่มองปราดเดียวก็สามารถประเมินร่างกายของคนตรงหน้าได้
ดังนั้นพอเห็นผู้หญิงคนนั้น วารุณีจำได้เลย นั่นก็คือนวิยา เพราะรูปร่างของผู้หญิงคนนั้นเหมือนนวิยา
ขณะที่วารุณีตัวสั่นและจับราวระเบียงไว้แน่น คนต่อไปที่กำลังลงจากเครื่องบินได้ปรากฏตัวในสายตาเธอ และเป็นผู้ชาย
พอเห็นชายผู้นั้นแล้ว สีหน้าของวารุณีไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมาก แค่มือที่จับอยู่บนราวยิ่งจับแน่นมากขึ้น
นิรุตติ์!
สิ่งที่เธอคาดการณ์ถูกต้องแล้ว คนที่พาเธอมาที่นี่คือนิรุตติ์และนวิยา
เกาะนี้คือถิ่นของนิรุตติ์และนวิยา?
ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาของวารุณี นิรุตติ์หันไปและเงยหน้าขึ้นมอง มองเห็นวารุณีที่อยู่นอกระเบียงชั้นสาม นัยน์ตาเขาเป็นประกาย จากนั้นโบกมือยิ้มทักทายวารุณี
ท่าทางของเขาดึงดูดนวิยาให้มองตาม พอเห็นวารุณีสีหน้าก็เปลี่ยนไป
“เธอตื่นแล้ว!” นวิยากำหมัดและกัดฟันพูด
นิรุตติ์เก็บมือลงแล้วหันไปมองเธอ “ยังคงยืนยันคำเดิม อย่าคิดที่จะลงมือกับเธอ ไม่งั้นผมไม่เอาคุณไว้แน่” นวิยาหรี่ตา”รู้แล้ว ฉันจะอดทนไว้ แต่ฉันไม่เข้าใจเลย”
“เรื่องอะไร?” นิรุตติ์ชักสีหน้า
นวิยากอดอกพูด “นายพาวารุณีมาที่นี่ คิดจะใช้เธอเป็นตัวแทนของอาสะใภ้รองหรือว่า……”
พอได้ยินคำว่าอาสะใภ้รองคำนี้
นิรุตติ์สีหน้าเปลี่ยน ยื่นมือจับใบหน้านวิยาและพูดด้วยเสียงเข้ม “อย่าพูดถึงอาสะใภ้รองกับฉัน เธอไม่คู่ควร?”
ใบหน้าที่เจ็บปวดของนวิยา และเหงื่อที่ไหลออกมา พูดด้วยเสียงที่แหบ “ฉันรู้แล้ว ฉัน……จะไม่พูดอีก ปล่อบฉันเถอะ……”
“หึ!” สายตาที่บ่งบอกถึงความรังเกียจของนิรุตติ์ ปล่อยเธออย่างแรง
นวิยาล้มลงกับพื้น ดวงตาของเธอสลด ประกายในตาได้หายไปครู่หนึ่ง
ไม่ช้า ดวงตาของเธอก็กลับมา ในมือจับทรายขึ้นมาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ตาของเธอแทบจะไม่ไหวแล้ว
ตอนแรกพิชิตได้เปลี่ยนกระจกตาให้เธอ ดวงตาของเธออย่างน้อยก็ใช้ได้หลายปี ถึงจะถูกกัดกินโดยเนื้องอกในสมอง และตาบอดอีกครั้ง
ใช่แล้วล่ะ เนื้องอก
ในสมองของเธอมีเนื้องอกและเธอได้รับการผ่าตัดหลายครั้ง แม้ว่าเธอจะไม่รู้เกี่ยวกับการผ่าตัดและไม่เคยตื่นขึ้นมา แต่รอยแผลบนศีรษะใต้วิกผมของนั้นเป็นหลักฐาน
เนื้องอกในสมองของเธอรักษาหายยากและไม่สามารถผ่าตัดออกได้อย่างสมบูรณ์ เพราะสมองเป็นส่วนที่ซับซ้อนที่สุดของร่างกายมนุษย์ ไม่สามารถตัดออกได้ตามต้องการ ดังนั้นชิ้นส่วนของเนื้องอกจึงอยู่ในสมองของเธอตลอด แม้แต่พงศกรผู้เชี่ยวชาญด้านสมองคนนี้ ก็ไม่สามารถผ่าตัดเนื้องอกออกได้เช่นกัน พงศกรสามารถผ่าเนื้องอกออกได้มากกว่าหน่อยเท่านั้น
อีกอย่างก็คือ หลังจากการผ่าตัดรักษาเนื้องอกในแต่ละครั้ง ตราบใดที่รากของเซลล์เนื้องอกยังคงอยู่ เนื้องอกก็มีโอกาสงอกออกมาใหม่ และอัตราการเติบโตจะเร็วมากยิ่งขึ้น
ครึ่งปีที่แล้ว เซลล์เนื้องอกในสมองของเธอกัดกินกระจกตาไปส่วนนึงและเกือบทำให้เธอตาบอด จากนั้นพิชิตก็เปลี่ยนกระจกตาใหม่ให้เธอ
เดิมทีกระจกตาที่เธอชอบคือของวารุณี แต่วารุณีได้รับการปกป้องจากนัทธี เธอพยายามฆ่าวารุณีหลายครั้งเพื่อหวังจะชิงกระจกตาแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายเธอก็แต่ยอมรับกระจกตาที่ทางพิชิตหามาให้
หลังจากเปลี่ยนกระจกตาแล้ว ดวงตาของเธอก็กลับมาสดใสอีกครั้ง พิชิตบอกให้เธอปกป้องดวงตาของเธอดี ๆ สามารถใช้งานได้หลายปีเลย
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอตามนิรุตติ์ เธอถูกบังคับให้เข้ารับการฝึก ในระหว่างการฝึกนั้นมีก๊าซพิษอยู่บ้าง ส่งผลให้ดวงตาของเธอได้รับความเสียหาย และในบางครั้งเธอจะสูญเสียการมองเห็นไปช่วงเวลาไม่กี่วินาที ครั้งหน้าอาจจะนานขึ้นไปอีก
และทั้งหมดนี้ก็เพราะนิรุตติ์ทำเธอทั้งนั้น
เดี๋ยวก่อนเถอะ เธอจะแก้แค้นกลับทีละคน โดยควักดวงตาของนิรุตติ์ออกมา และให้นิรุตติ์รับรู้ความรู้สึกของการตาบอด
ไม่เพียงเท่านั้น เธอจะต้องปลูกถ่ายกระจกตาของวารุณีให้กับตัวเธอเองด้วย ครั้งนั้นวารุณีหนีไปได้ แต่ครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมให้วารุณีหนีได้อีก
ระหว่างที่คิดไป นวิยาเงยหน้า สายตาที่จ้องมองวารุณีที่อยู่บนระเบียงชั้นสาม
วารุณีสัมผัสได้ถึงสายตาเคียดแค้นของนวิยา และขมวดคิ้ว
ดูเหมือนว่าคราวหน้าเธอและนวิยาจะต้องอาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกันอีกครั้ง และต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่
“เก็บสายตานั่นของเธอซะ อย่าทำให้เธอตกใจ ” นิรุตติ์เตะใส่นวิยาหนึ่งที
เอวนวิยาที่ถูกเตะ เจ็บจนร้องออกมา ในใจยิ่งเกลียดแค้นมากขึ้น
นิรุตติ์มองเธอเหมือนมองขยะ “ฉันรู้นะ ต่อหน้าเห็นด้วยกับคำเตือนของฉัน แต่ในใจไม่ใช่แบบนั้น ในใจต้องการต่อต้านวารุณี แต่ฉันจะบอกไว้เลยนะ ตราบใดที่ฉันเห็นว่าวรุณีได้รับบาดเจ็บนิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นแกทำหรือไม่ ฉันก็จะโทษว่าเป็นแก เข้าใจไหม? ”
นวิยาดวงตาเบิกกว้าง “แก……”
“เข้าใจไหม?” นิรุตติ์ตะโกนย้ำอีกครั้ง
นวิยาตัวสั่นและเปลือกตาที่หย่อนลง “เข้าใจแล้ว”
อย่าหุนหัน จะใจร้อนไม่ได้เด็ดขาด
เธอยังไม่มีความสามารถในการเผชิญหน้ากับนิรุตติ์ ต้องอดทน เธอต้องอดทนเท่านั้น!
รอให้ได้ไพ่ที่เหนือกว่าจากนิรุตติ์แล้ว ความอัปยศทั้งหมดของวันนี้ก็สามารถชำระคืนได้
นิรุตติ์มองนวิยาอย่างประชดประชัน จากนั้นเก็บสายตากลับคืน
ที่ระเบียงชั้นสาม วารุณีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนสองคนนี้ ทำไมนิรุตติ์ถึงรุนแรงกับนวิยากัน?
แต่มันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเธอ และเธอก็ไม่สนใจด้วย
สิ่งที่เธอสนใจคือเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นต่างหาก