ไม่เป็นไร อย่างน้อยครั้งนี้เราก็ไม่เสียเปรียบ จับนวิยาได้แล้วนี่? วารุณีมองนัทธีด้วยรอยยิ้ม เมื่อเทียบกับนิรุตติ์แล้ว ที่คุณอยากจัดการมากกว่า เป็นนวิยาไม่ใช่เหรอ?
สายตานัทธีหม่นลงไป ไม่พูดอะไร
ก็จริงๆ เมื่อเทียบกับนิรุตติ์แล้ว เขาแค้นนวิยามากกว่า
ผมเข้าใจแล้ว งั้นให้บอดี้การ์ดพวกนั้นถอยกลับเถอะ ที่นั่นไม่มีประโยชน์แล้ว นัทธีขมวดคิ้ว กำชับด้วยเสียงเย็นชา
ครั้งนี้จับนิรุตติ์ไม่ได้ ก็โทษบอดี้การ์ดพวกนั้นไม่ได้
ที่สำคัญคือ บนตัวบอดี้การ์ดพวกนั้นไม่มีปืน ไม่กล้าออกไปตัวต่อตัวกับนิรุตติ์ที่ยิงออกมาไม่หยุด
ยิ่งไปกว่านั้น บอดี้การ์ดพวกนี้ก็เป็นคนที่เขาจ้างในประเทศนิวซีชั่วคราว ในด้านความซื่อสัตย์ ยังไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น
ถึงเขาให้พวกเขาลุยไปเลย พวกเขาก็คงไม่ลุยไปตรงๆหรอก
อย่างที่วารุณีบอก ถึงแม้จับนิรุตติ์ไม่ได้ แต่จับนวิยา ก็คุ้มค่าแล้ว
เข้าใจแล้วครับ มารุตพยักหน้าตอบไป แล้วเริ่มเรียกถอนคนออกมา
ตกดึก เรือสำราญก็เริ่มแล่นกลับไป ขับไปที่ประเทศลาวาโดยตรง
ส่วนบอดี้การ์ดพวกนั้น เมื่อตอนบ่าย ก็ถูกบริษัทของพวกเขาเอาเฮลิคอปเตอร์มารับไปแล้ว
ดังนั้นคนบนเรือสำราญตอนนี้ ล้วนเป็นของนัทธี
วารุณียืนอยู่บนดาดฟ้า พิงราวไว้แล้วมองทะเลด้านนอก พูดด้วยรอยยิ้ม: นั่งเรือสำราญกลับประเทศ เป็นครั้งแรกของฉันเลย
ชอบไหม? นัทธีโอบเธอจากด้านหลัง กัดไปที่ติ่งหูเธอ ถามเสียงแหบ
วารุณีพยักหน้า ชอบสิ ได้ชมวิวทะเลตลอดทางแบบนี้ รู้สึกว่าความคิดของตัวเองเปลี่ยนไปเยอะ เมื่อก่อนทุกครั้งก็นั่งเครื่องบิน นั่งเครื่องบินมองเห็นได้จำกัดมาก รวมกับความเร็วด้วยแล้ว สรุปคือยังไงก็ไม่ดีเท่ากับนั่งบนเรือสำราญแล้วชมวิว
นัทธีหัวเราะเบาๆ เรือสำราญลำนี้ ยังไม่ตั้งชื่อเลย ในฐานะเจ้าของเรือสำราญ คุณตั้งมาสักชื่อสิ
เจ้าของเรือสำราญ? วารุณีตะลึงก่อน จากนั้นหันกลับมา เผชิญหน้ากับชายหนุ่ม คุณหมายถึงฉัน?
เธอชี้ไปที่หน้าตัวเอง
นัทธีพยักหน้า ใช่ ตอนนั้นที่ซื้อเรือสำราญลำนี้ ผมใส่ชื่อคุณ ดังนั้นเรือสำราญลำนี้เป็นของคุณ และเป็นของขวัญที่ผมให้คุณ
วารุณีเบิกตาโต ตกใจอย่างเห็นได้ชัด
นัทธีมองเธอ ไม่ชอบเหรอ?
เปล่าๆๆ ไม่ใช่ ฉันแค่ตกใจ ตกใจว่าจู่ๆตัวเองก็ได้รับของขวัญสุดหรูขนาดนี้ วารุณีกลืนน้ำลายแล้วพูด
เรือสำราญลำหนึ่งเลยนะ
เธอไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะได้เรือสำราญมาลำหนึ่ง
นัทธีลูบหัวของเธอแล้วพูดว่า: ไม่มีอะไรต้องตกใจ สามีคุณมีเงิน ซื้อพวกนี้ให้ภรรยาตัวเอง ก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ?ผมได้ยินว่าก่อนหน้านี้ประธานรพีก็ซื้อเรือสำราญให้ภรรยาเขาลำหนึ่ง ภรรยาเขาอวดไปทั่วในวงการ ส่วนคุณในฐานะภรรยาของคนที่รวยอันดับหนึ่ง จะไม่มีได้อย่างไร ภรรยาคนอื่นมีแล้ว ภรรยาผมก็ต้องมี
ได้ยินคำนี้ วารุณีก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกว่าคุณกำลังเทียบกับคนอื่นอยู่นะ ฉันคิดว่าการเทียบแบบนี้ แทบจะเป็นพวกผู้หญิงทั้งหมดเสียอีก ไม่คิดว่าคุณจะเป็นเหมือนกัน
ไม่ได้เทียบกับใคร แต่คุณเป็นภรรยาของผม ก็ควรมีของที่ดีที่สุด นัทธีมองเธอ สายตานั้นจริงจังสุดๆ
วารุณีหัวเราะ หมายความว่า ต่อไปคุณจะซื้อเครื่องบิน คฤหาสน์ให้ฉัน?
แน่นอน ผมซื้อได้! นัทธีเงยคางขึ้น พูดอย่างเย่อหยิ่ง
วารุณีพิงไปในอ้อมแขนเขา โอเค งั้นฉันจะรอนะ
สามีภรรยายืนอยู่ตรงนี้ พูดคำหวานๆ ต่อกัน บรรยากาศก็อบอุ่นขึ้นมา
นัทธีมองเธอ คุณยังไม่บอกเลย จะตั้งชื่ออะไรให้เรือสำราญ
ฉันคิดก่อน ในเมื่อเป็นเรือสำราญของฉัน งั้นฉันก็จะตั้งให้เพราะหน่อย วารุณีเอียงศีรษะ เริ่มคิด
นัทธีรอเธออย่างอดทน
รอไปประมาณสองสามนาที ดวงตาวารุณีก็เป็นประกาย สามี คุณว่าAuroraเป็นไง?
รุ่งอรุณ? นัทธีเลิกคิ้ว
วารุณีพยักหน้า ใช่ รุ่งอรุณ ตอนนั้นฉันอยู่บนระเบียงชั้นสามที่คฤหาสน์ มองเห็นสายล่อฟ้าของเรือสำราญลำนี้ ฉันก็รู้ว่า คุณมาแล้ว ตอนนั้น ฉันคิดว่าตัวเองเห็นรุ่งอรุณ ดังนั้นก็เรียกมันว่าAurora
โอเค นัทธียิ้มขึ้นมา งั้นก็ชื่อAurora รอถึงท่าเรือในประเทศ ผมจะให้คนพ่นสามคำนี้ให้นะ
อือ วารุณียิ้มตอบกลับ
เวลายังเช้าอยู่เลย กลับไปพักผ่อนเถอะ นัทธีจูงมือของเธอ เข้าไปในเรือสำราญ
ตอนที่วารุณีตื่นมาอีกครั้ง ฟ้าก็สว่างแล้ว
วารุณีเดินไปตรงด้านหน้าหน้าต่าง มองท่าเรือตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกล แววตาก็เป็นประกายทันที สามี รีบตื่นเร็ว พวกเราถึงแล้วใช่ไหม!
ตอนนี้นัทธียังไม่ตื่น ได้ยินเสียงของเธอ จึงลืมตาขึ้นมา
เขานั่งขึ้นมา ดึงเสื้อด้านข้างมาสวมแล้วถึงลงจากเตียง ไหนผมดูสิ
เขามองไปด้านนอก ตอบอือ ใช่ถึงแล้ว เครื่องบินที่มารุตให้มารับเรา ก็มาถึงแล้วช
ดีจัง อีกสามชั่วโมง ฉันจะได้เจออารัณกับไอริณ วารุณีกุมมือไว้ พูดอย่างดีใจ: แล้วก็สุขใจแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้สุขใจเป็นไงบ้าง?
นับเวลาดูแล้ว สุขใจนอนอยู่ในตู้อบ ก็ประมาณหนึ่งเดือนแล้ว
มองวารุณีที่หดหู่ไป นัทธีก็กอดเธอ รออีกสองสามวัน พวกเราไปเยี่ยมสุขใจที่ต่างประเทศกัน ได้ยินหมอทางนั้นบอกว่า ตอนนี้สุขใจมีพัฒนาการดีมาก รอถึงแปดเดือน ก็กลับมาได้แล้ว
จริงเหรอ? วารุณีดีใจมาก
นัทธีพยักหน้า จริงๆ
ดีจัง แปดเดือน งั้นก็เหลืออีกเดือนหนึ่ง วารุณีพูดอย่างปีติ
ตอนนี้สุขใจเจ็ดเดือนแล้ว แปดเดือนก็จะกลับประเทศได้ ถึงแม้กลับประเทศไปยังต้องอยู่ในตู้อบอีก แต่เธอก็สามารถดูสุขใจได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเหมือนเมื่อก่อน ที่แยกประเทศกัน อยากเจอหน้า ก็ต้องวิดีโอคอล
แป๊บเดียว เรือสำราญก็จอดเทียบท่าเรือ
เรือสำราญสุดหรูหรา ดึงดูดบทสนทนาและสายตาจากทั้งท่าเรือทันที
ยังไงปกติท่าเรือนี้ก็จะเป็นเรือสำราญขนส่งสินค้า ยากมากที่จะเห็นเรือสำราญส่วนบุคคล ดังนั้นจะไม่ดึงดูดการสังเกตของผู้คนได้ไง?
แล้วก็ยังมีคนที่เดินไปมา ก็ยังหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป
นัทธีกอดวารุณีมาที่ดาดฟ้า มารุตเดินเข้ามา ประธาน คุณหญิง อรุณสวัสดิ์ครับ
อรุณสวัสดิ์ค่ะผู้ช่วยมารุต วารุณีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
นัทธีถาม: เครื่องบินถึงเมื่อไหร่
มารุตกำลังจะตอบ ด้านบนหัวก็มีเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์
ทั้งสามเงยหน้าขึ้นไปมอง เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวอันหรูหราลำหนึ่งค่อยๆลงมา จอดลงที่ลานจอดรถชั้นบนสุดของเรือสำราญ
นัทธีมองวารุณี จากตรงนี้ไปถึงสนามบินยังอีกไกลมาก ดังนั้นได้แต่ให้เฮลิคอปเตอร์มารับพวกเรา ถ้าอยู่ใกล้กับสนามบินอีกสักหน่อย ผมจะให้เครื่องบินส่วนตัวมารับนะ
ไม่ต้องหรอก แบบนี้ก็พอแล้ว ผมอยากกลับไปไวๆ วารุณีพูดยิ้มๆ จากนั้นเดินไปที่บันได เตรียมขึ้นเครื่องบินไป
ถึงแม้เครื่องบินส่วนตัวจะไวจริงๆ แต่เทียบกับได้กลับบ้านไว้แล้ว เธอเลือกที่จะกลับบ้านไวดีกว่า
อีกอย่าง ถึงพื้นที่เฮลิคอปเตอร์เล็ก แต่ก็นั่งสบายมาก
ภายใต้การจ้องมองของทุกคนในท่าเรือ นัทธีกับวารุณีขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ออกไปจากท่าเรือ
มารุตไม่ได้ไปด้วยกัน เขาอยู่ต่อ ยังไงการจัดการที่เรือสำราญ ก็ยังต้องให้เขาจัดการ
ภาพที่วารุณีกับนัทธีขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ถูกคนที่ผ่านไปมาถ่ายไว้ เอาลงในเน็ต แป๊บเดียวก็ฮอตติดเทนด์
สิ่งที่ชาวเน็ตสังเกตเห็นเป็นอย่างแรก คือพวกเขารวย มีทั้งเรือสำราญ มีทั้งเฮลิคอปเตอร์ ทำให้รู้สึกอิจฉา
จากนั้นสิ่งที่ชาวเน็ตสังเกตเห็นคือ ใบหน้าของพวกเขา ความหล่อเหลาของชายหนุ่ม ความสวยงามของหญิงสาว ทำให้คนพวกนั้นที่ชอบดูหน้า รู้สึกคลั่งไคล้
สุดท้ายชาวเน็ตก็จำนัทธีได้ หลังจากรู้ว่าเขาคือประธานของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปแล้ว จึงเข้าใจสถานะของวารุณี คุณหญิงของประธานบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
ชั่วพริบตาเดียว ทั้งสองก็กลายเป็น‘สามีภรรยาแห่งชาติ’จากปากของชาวเน็ต โดดเด่นไม่มีใครเทียบได้