พงศกรเม้มริมฝีปากของเขาครู่หนึ่ง แล้วปล่อยมือคุณแม่ปารวี จากนั้นหยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋า ยื่นให้คุณแม่ปารวี
คุณแม่ปารวีมองจดหมายที่ปิดผนึกอย่างดี อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ “นี่คือ?”
“ช่วยเอานี่ให้ปาจรีย์แทนผมหน่อยครับ” พงศกรพูด
คุณแม่ปารวีขมวดคิ้ว “ทำไมต้องเอาให้ปาจรีย์ คุณเขียนอะไร ในจดหมายบ้าง?”
พูดตามความจริง สมัยนี้ ใครจะเขียนจดหมาย ทำให้เธอรู้สึกตกใจอย่างมาก
แต่ว่าสิ่งที่ตกใจยิ่งกว่าก็คือ จดหมายนี้ ให้ปาจรีย์เนี่ยนะ
“ไม่มีอะไร” พงศกรพูดเสียงเรียบ:”แค่ฝากฝังเรื่องอะไรบางอย่างนิดหน่อยเท่านั้น”
“เรื่องอะไร?”คุณแม่ปารวีไม่ได้รับจดหมาย คล้ายจะถามให้ถึงที่สุด
พงศกรขมวดคิ้ว “คุณเอาให้เธออ่าน เธอจะรู้เอง”
เขาไม่ได้ตอบว่าเขียนอะไรในจดหมาย ยัดใส่มือคุณแม่ปารวี
คุณแม่ปารวีเห็นจดหมายในมือ อยากจะโยนทิ้งลงพื้นบ้าง
แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องเสียมารยาทแบบนั้น สุดท้ายเธอถอนหายใจ พยักหน้ารับปาก “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะเอาให้ปาจรีย์”
พงศกรตอบอืม “ขอบคุณครับ ผมขอตัวก่อน”
“ขอตัวก่อน?” คุณแม่ปารวีตกใจอีกครั้ง “คุณจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว?”
พงศกรพยักหน้าเล็กน้อย “อืม ผมจัดการเอกสารออกจากโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว”
คุณแม่ปารวีเพิ่งตั้งสติได้ เขาสวมชุดไปรเวท เปลี่ยนเพราะออกจากโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ?
ถ้าไม่ออกจากโรงพยาบาล ทำไมต้องใส่แบบนี้ด้วย
เมื่อกี้เธอคิดว่า เขามาบอกลา แล้วจะไปพรุ่งนี้
เพราะหลายครั้ง ล้วนบอกลาล่วงหน้าหนึ่งวัน
แต่ว่าสุดท้ายเธอคิดไม่ถึง เขาจะไปตอนนี้
“คุณไปแบบนี้ กระดูกยังไม่ประสานกันรึเปล่า?” คุณแม่ปารวีมองพงศกร ขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เธอก็โกรธเด็กคนนี้
แต่ว่าเด็กคนนี้ เธอเห็นตั้งแต่เล็กจนโต ภายในใจของเธอ ก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้
พงศกรย่อมเข้าใจความเป็นห่วงของคุณแม่ปารวี แววตาของเขาทอประกายเล็กน้อย แต่ก็หม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว แล้วหายไป แต่ว่าสีหน้าและอารมณ์รอบตัวของเขา อ่อนโยนขึ้นมาก “ถึงแม้จะไม่หายดีทั้งหมด แต่ว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดิน ขอแค่ไม่ถูกกระแทกอีกก็ไม่เป็นไรแล้วครับ”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ คุณแม่ปารวีพยักหน้า “อย่างนั้นเหรอ ดีเหมือนกัน”
เธอไม่ได้ถามอะไรมากมาย
ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้ เธอถามคำหนึ่งก็ถือว่าดีมากแล้ว
ถามอีก เป็นไปไม่ได้
แน่นอนว่าพงศกรเองก็เข้าใจข้อนี้ เขาดันแว่น “ถ้าอย่างนั้นคุณป้าครับ ผมขอตัวก่อน รบกวนคุณป้าบอกกับปาจรีย์ให้หน่อย”
พูดจบ เขาโน้มตัวลงทำความเคารพคุณแม่ปารวี
คุณแม่ปารวีตกใจกับการกระทำของเขา
เดิมทีถูกเขาเรียกว่าป้าเธอก็ตกใจแล้ว ตกใจยิ่งกว่าพูดด้วยความเคารพเมื่อครู่เสียอีก
ตอนนี้เห็นเขาโน้มตัวลงทำความเคารพเธอ เธอตกตะลึงไปแล้ว
แต่ว่ายังไม่รอให้คุณแม่ปารวีร้องเรียกเขา เขาก็ลุกขึ้นมาแล้ว หมุนตัวหันหลังเดินไปที่ลิฟต์
คุณแม่ปารวีมองแผ่นหลังของเขา โล่งอกเล็กน้อย
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขาเกิดบ้าอะไรขึ้นมา ทำไมอยู่ๆ ท่าทีของเขาที่ปฏิบัติต่อเธอถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ว่าตอนนี้เห็นเขาจากไป เธอก็โล่งอก
หลังจากนั้นคุณแม่ปารวีถอนสายตากลับ ก้มหน้าลงมองจดหมายในมือ แววตาฉายความลังเล
เธอกำลังลังเล ว่าจะจดหมายนี้ให้ปาจรีย์ดีหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่รู้ว่าเนื้อความในจดหมายเขียนอะไรบ้าง
ถ้าเขียนสิ่งที่ทำให้ปวดใจขึ้นมา เอาจดหมายให้ปาจรีย์ เท่ากับเป็นการทำร้ายปาจรีย์ไม่ใช่เหรอ?
แต่ถ้าไม่ให้ปาจรีย์ ถึงเวลาคนคนนี้ถามขึ้นมา ก็จะโดนอาละวาดไม่ใช่เหรอ?
คุณแม่ปารวีนวดขมับ รู้สึกปวดหัวอย่างมาก
แต่ว่าสุดท้าย คุณแม่ปารวีก็ตัดสินใจเอาจดหมายให้ปาจรีย์
เพราะถึงอย่างไรก็รับปากพงศกรแล้ว ไม่ให้ก็ไม่ดีหรือเปล่า?
อย่างมาก เธอเฝ้าปาจรีย์เอาไว้ ถ้าหากหลังจากปาจรีย์อ่านจดหมายจบ มีท่าทีอะไรไม่ดีละก็ เธอก็ยังสามารถปลอบใจลูกสาวได้
ถูกต้อง ทำแบบนี้แหละ!
ขณะคิด คุณแม่ปารวีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หันหลังแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องของปาจรีย์อีกครั้ง
เวลานี้ปาจรีย์กำลังอ่านหนังสือ ได้ยินเสียงประตูเปิด นึกว่าพยาบาลเข้ามาตรวจห้อง จึงไม่ได้เงยหน้าขึ้น
ตอนที่รู้ว่าคุณแม่ปารวีร้องเรียกเธอ เธอถึงจะเงยหน้าขึ้น มองคุณแม่ปารวีด้วยความตกใจ “แม่? แม่กลับมาได้ยังไงคะ?”
“แม่กลับมา มีของจะให้ลูก” คุณแม่ปารวียิ้มแล้วตอบคำถาม
ปาจรีย์สงสัย “ของ? คุณแม่คะ ก่อนหน้านี้แม่ลืมเอาอะไรให้หนูเหรอคะ?”
“ไม่ใช่แม่” คุณแม่ปารวีส่ายหน้า วางตะกร้าในมือ หยิบจดหมายของพงศกรออกจากตะกร้า ยื่นให้ปาจรีย์ “พงศกรเอาให้ลูก”
เธอยื่นให้ปาจรีย์
ปาจรีย์ตกใจเล็กน้อยก่อน ตามด้วยรับจดหมายด้วยความแปลกใจ “เขาเอาจดหมายให้หนู?”
“ใช่” คุณแม่ปารวีพยักหน้า “เมื่อกี้หลังจากแม่ออกไป ตอนแรกเตรียมจะกลับไป แต่สุดท้ายคิดไม่ถึงว่า จะเจอเขาที่ประตู พูดคุยกับเขานิดหน่อย หลังจากนั้นเขาก็เอาจดหมายนี้ให้แม่ ให้แม่เอาให้ลูก”
ปาจรีย์มองจดหมายในมือ เบามาก บางมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงได้รู้สึกหนักมาก
“แม่ไม่ได้ถามเขาเหรอคะ เขียนอะไรไว้?” ปาจรีย์สูดลมหายใจเข้า มองไปที่คุณแม่ปารวี แล้วถาม
คุณแม่ปารวีส่ายหน้า “แม่ถาม แต่เขาไม่ยอมบอก บอกว่าลูกอ่านจดหมายก็จะเข้าใจเอง ดังนั้นแม่ก็ไม่รู้ว่าเนื้อความในจดหมายคืออะไรกันแน่”
“แบบนี้นี่เอง” ปาจรีย์พยักหน้า เพื่อบอกว่าตนรับรู้
คุณแม่ปารวีมองลูกสาว “ไม่เปิดอ่านเหรอ?”
“เดี๋ยวก่อนแล้วกันค่ะ” ปาจรีย์จับจดหมายแล้วพูด:”เขาให้จดหมายกะทันหัน หนูไม่ได้เตรียมใจ ดังนั้นเดี๋ยวรอให้หนูใจเย็นก่อนค่อยอ่านค่ะ”
คุณแม่ปารวีพยักหน้า “ก็จริง ได้ เดี๋ยวค่อยอ่าน แม่อยู่กับลูกที่นี่อีกสักพักแล้วกัน”
“แม่ต้องรีบกลับไปทำอาหารให้พ่อไม่ใช่เหรอคะ?” ปาจรีย์พูดด้วยรอยยิ้ม
คุณแม่ปารวียิ้ม “ไม่ใช่ว่าพ่อของลูกทำอาหารไม่เป็นสักหน่อย บางครั้งเขาทำอร่อยกว่าแม่อีก แค่ขี้เกียจทำเท่านั้น แม่กลับไปสาย ประจวบเหมาะเขาจะได้ขยันหน่อย”
ปาจรีย์ยิ้มแล้วเงยหน้าขึ้น “คุณแม่ ร้ายกาจจริงๆ”
“พ่อของลูกขี้เกียจเกินไปต่างหาก บางครั้งต้องบีบเขาแบบนี้” คุณแม่ปารวีตอบอย่างนิ่งเฉย
ปาจรีย์พยักหน้าเห็นด้วย “แม่พูดถูกค่ะ”
สองแม่ลูกหัวเราะกันครู่หนึ่ง จากนั้นคุณแม่ปารวีมองไปที่ปาจรีย์ “จริงด้วย พงศกรออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ”
“ออกจากโรงพยาบาลแล้ว?” ปาจรีย์ชะงักครู่หนึ่ง ตัวของเธอเหยียดตรงทันที แววตาของเธอมีความกังวลที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ตัว “เขาออกจากโรงพยาบาลได้ยังไงคะ? กระดูกของเขายังไม่หายดีไม่ใช่เหรอคะ?”
คุณแม่ปารวีเห็นปาจรีย์ถามด้วยร้อนใจแบบนี้ แววตาทอประกาย
ปาจรีย์ เป็นห่วงพงศกรมากเกินไปหน่อยรึเปล่า?
แต่ว่าอย่างรวดเร็ว คุณแม่ปารวีเก็บความคิดนั้นเอาไว้ ไม่ได้คิดอะไรมาก ถอนหายใจแล้วตอบ: “ยังไม่หายดี แต่เขาบอกว่าสามารถเดินได้ตามปกติแล้ว สำหรับส่วนอื่น ขอแค่ไม่กระแทกโกนก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ปาจรีย์กัดริมฝีปาก “ดังนั้นเมื่อกี้ตอนที่คุณแม่เจอเขา เขาออกจากโรงพยาบาลแล้วใช่ไหมคะ?”
“ใช่” คุณแม่ปารวีพยักหน้า “เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว คาดว่าคงจะทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเสร็จแล้ว อีกทั้งเขายังฝากแม่มาบอกลูกด้วยว่า เขาไปก่อน”
ปาจรีย์หลบตาลง “ดูเหมือนว่า เมื่อกี้เขามาบอกลา”
“ถูกต้อง หลังจากนั้นเขาก็เอาจดหมายนี้ของลูกยื่นให้แม่” คุณแม่ปารวีชี้จดหมายในมือของปาจรีย์แล้วพูด
ปาจรีย์จับจดหมายในมือแน่นอีกครั้ง จับจนจดหมายนี้มีเสียงออกมา
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจ จากนั้นภายใต้การจับจ้องของคุณแม่ปารวี เปิดจดหมายฉบับนี้