เนื้อหาในจดหมายไม่ยาว มีเพียงประโยคสั้นๆไม่กี่ประโยค และปาจรีย์มองออกว่า ประโยคเหล่านี้ไม่เชื่อมโยงกัน แม้กระทั่งการเขียนลงไป ก็ยังรู้สึกว่ามีการหยุดลงและเปลี่ยน
ดังนั้น ปาจรีย์เดาว่า น่าจะเป็นตอนที่พงศกรเขียน ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร หรือคิดว่าเขียนมาแล้วไม่เหมาะสม ก็เลยลังเลว่าจะเขียนดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เขียน จากนั้นพอมาอยู่ตรงหน้าเธอ ก็เลยเป็นจดหมายที่ดูแปลกๆ
และเนื้อหาในจดหมาย ก็ชวนให้คนคิดตามมาก
คุณแม่ปารวีมองปาจรีย์ที่ดูนิ่งๆ ไม่ค่อยต่างเท่าไหร่กับตอนปกติ ในใจก็โล่งอก
ลูกสาวไม่ดูเปลี่ยนแปลงอะไร ก็หมายความว่า ในจดหมายฉบับนี้ ไม่ได้เขียนอะไรที่ทำให้ลูกสาวตกใจ
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็โล่งอกอย่างมาก
“ปาจรีย์”คุณแม่ปารวีเรียกปาจรีย์
ปาจรีย์จ้องจดหมาย ไม่ได้ตอบสนอง
คุณแม่ปารวีทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ยื่นมือออกไป โบกมือตรงหน้าเธอ
ตอนนี้ปาจรีย์จึงตอบสนองไป สายตาดูมึนงง พอตอบสนองคืนมา เม้มริมฝีปากให้คุณแม่ปารวี แล้วยิ้มออกมา“อะไรเหรอแม่?”
“แม่สิต้องถามแกว่าเป็นอะไร”คุณแม่ปารวีมองบนใส่ลูกสาวอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นถามอย่างเป็นห่วงอีกว่า“เป็นไง บนนั้นเขียนอะไร?”
“เปล่าค่ะ”ปาจรีย์พูดไป แล้วก็ยื่นจดหมายในมือไปให้
คุณแม่ปารวีคิดไม่ถึงว่าตัวเองแค่ถามไปเฉยๆ ลูกสาวดันยื่นจดหมายให้ตัวเองจริงๆ ให้ตัวเองดู ไม่ได้จะปิดบังเลย ทำให้ในใจเธอนั้นรู้สึกพอใจ
“แม่อ่านได้ไหม?”คุณแม่ปารวีไม่ได้รับจดหมายในทันที แต่มองปาจรีย์แล้วค่อยยืนยันอีกครั้ง
การอบรมสั่งสอนของพวกเขาตระกูลจิรดำรงค์เป็นแบบนี้ ของอย่างเช่นจดหมาย เป็นของส่วนตัว
ถึงลูกสาวเอาให้ตัวเองดู ตัวเองก็ไม่สามารถรับมาดูอย่างอดใจไม่ไหวแบบนั้นได้ จำเป็นต้องถามความต้องการของลูกสาวให้ชัดเจนก่อน เธอกลัวว่าลูกสาวเอาให้เธอดูในทันที แล้วจะมาเสียใจภายหลังได้
ยิ่งกว่านั้น จดหมายนี้ก็เป็นชายหนุ่มที่เขียนให้ลูกสาว เธอที่เป็นแม่ เห็นอะไรแปลกๆ คงไม่ดีนัก
แต่ปาจรีย์กลับไม่แคร์เรื่องพวกนี้ เธอพยักหน้าแล้วยิ้ม“ได้อยู่แล้วค่ะ ฉันให้แม่ดูแล้วนี่ ทำไมจะอ่านไม่ได้ล่ะ?ดังนั้นอ่านไปเถอะแม่”
ได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้ คุณแม่ปารวีจึงโล่งอก ไม่บอกปัดอีก หยิบจดหมายนั้นมาดู
แล้วก็คาดไม่ถึงว่า บนจดหมายจะไม่มีอะไรที่อ่านไม่ได้ กลับกัน เนื้อหาบนจดหมายนี้ดูเรียบง่ายมาก แค่กำชับปาจรีย์เล็กน้อยมาช่วงท้องให้ระวังอะไรบ้าง จากนั้นพงศกรก็ให้ปาจรีย์รับปากว่าจะรอเขากลับมา แล้วคุยกันดีๆ อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรอีก
สรุปคือ จดหมายฉบับนี้อ่านไปแล้ว ดูลวกๆไปหน่อย
น่าจะเป็นเพราะว่าพงศกรเขียนจดหมายครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร ดังนั้นสุดท้ายแล้วจึงเขียนไม่กี่ประโยคนี้ออกมา
“ปาจรีย์ ลูกว่าเขาหมายความว่าอะไร?”คุณแม่ปารวีเอาจดหมายคืนปาจรีย์ ใบหน้าดูสงสัยอย่างมาก
ปาจรีย์ส่ายหน้า“ฉันก็ไม่รู้”
อย่างไรก็ตามถึงเธอจะพูดแบบนี้ แต่ในใจรู้ดีว่า พงศกรเขียนจดหมายนี้ให้เธอ เพราะว่าเขาพูดคำพูดห่วงใยอะไรเหล่านั้นไม่ออก และกลัวว่าเธอจะไม่อยากฟัง ดังนั้นจึงเขียนลงบนจดหมายแล้วเอาให้เธอ
แบบนี้ เธอไม่ต้องฟัง ก็สามารถรับรู้ได้แล้ว
ต้องบอกว่า เขาฉลาดมาก
และอีกอย่าง เขาพูดคำพูดพวกนี้ เป็นการบอกเธอว่า เขาเป็นห่วงเธอจริงๆ อยากดีต่อเธอ
และก็จะเห็นว่า เขาเป็นอย่างที่ บอกกับวารุณีจริงๆ ยอมรับความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ อยากจีบเธอ
คิดถึงตรงนี้ ฝ่ามือปาจรีย์ก็เกร็งแน่น ท่าทางดูซับซ้อนขึ้นมา
ความรู้สึกที่พงศกรมีต่อเธอนั้นมาไวมาก และก็กะทันหันมากไป ยอมรับก็เป็นธรรมชาติ และพอยอมรับแล้ว ก็เริ่มรุกใส่เธอ
ทำให้ในใจเธอไม่ใช่แค่ไม่มีความสุขเลยสักนิด แต่มีแต่ความเศร้าอย่างสุดซึ้ง
ที่เศร้าคือ เธอไม่มีความทรงจำและความรู้สึกที่เคยมีต่อเขา การจีบของเขา ทำให้เธอรู้สึกไม่ถึงความสุข บวกกับที่ระหว่างพวกเขานั้นยังมีความแค้นระหว่างกันด้วย การจีบของเขา จึงทำให้เธอกลัวเล็กน้อย
เห็นลูกสาวขมวดคิ้ว คุณแม่ปารวีก็ร้อนใจขึ้นมา“ปาจรีย์ ลูกเป็นอะไร?กำลังคิดอะไรอยู่?”
สายตาปาจรีย์เป็นประกาย ใบหน้านั้นฝืนยิ้มออกไป“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันไม่เป็นไรแม่ แค่คิดเรื่องในใจนิดหน่อย ไม่สำคัญอะไรหรอก”
เธอพูดแบบนี้ ก็คือให้คุณอย่าถามต่อไปอีก
ถามต่อไป เธอก็กลัวว่าตัวเองจะปิดปากไม่อยู่ พูดสิ่งหงุดหงิดในใจออกมา
ยังไงเรื่องความรู้สึกที่พงศกรมีต่อเธอ และยังอยากจีบเธอด้วยนี้ เธอไม่อยากคุยกับพ่อแม่จริงๆ
พอพ่อกับแม่รู้ จะต้องตกใจ จากนั้นจะต้องคิดมากกว่าเธอแน่
พวกเขาอายุมากอยู่แล้ว ถ้าคิดถึงเรื่องราวมากมายแบบนี้อีก ก็จะเหนื่อยล้าทั้งใจและกาย ร่างกายก็จะรับไม่ไหว
ดังนั้นเรื่องพวกนี้ ก็ให้ตัวเองรับไว้เองละกัน
คุณแม่ปารวีเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าลูกสาวมีเรื่องอะไรปิดบังพวกเขาอยู่ จึงถอนหายใจข้างในใจ แต่ก็ไม่ได้บังคับ ตบไหล่ของลูกสาว แล้วหัวเราะอย่างเข้าใจ“ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ไว้วันไหนอยากพูด ก็พูดให้แม่ฟัง แม่จะเป็นผู้ฟังที่ซื่อสัตย์ที่สุดของแกเอง”
ได้ยินคำนี้ ปาจรีย์ก็เบ้าตาแดงก่ำ ในใจมีแต่ความอบอุ่นและซาบซึ้ง
เธอเอนตัวไปข้างหน้า พิงไปในอ้อมแขนคุณแม่ปารวี“ขอบคุณค่ะ แม่”
“จะขอบคุณไปทำไมกัน”คุณแม่ปารวีลูบผมของลูกสาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู
ผ่านไปสักพัก เธอปล่อยลูกสาวออก มองลูกสาวแล้วถามว่า:“เอาล่ะปาจรีย์ ดึกแล้ว แม่ต้องไปแล้ว ลูกอยู่โรงพยาบาลคนเดียวก็ดูแลตัวเองดีๆนะ มีอะไร ก็ให้พยาบาลรับจ้างทำให้ อย่าซื่อบื้อไปทำเอง ถ้าพยาบาลรับจ้างทำไม่ได้ ก็ให้เขาโทรหาแม่ แม่จะมาดูแลลูกเอง”
ที่จริงเธออยากอยู่ดูแลลูกสาวที่โรงพยาบาล อยู่เป็นเพื่อนลูกสาว
แต่สองสามวันนี้ ชายแก่ก็ไม่สบาย ดังนั้นหมดหนทาง เธอจึงได้แต่อยู่ดูแลชายแก่ที่บ้าน
ดีที่วันนี้ร่างกายของชายแก่ดีขึ้นมาแล้ว จนเดินเล่นไปมาที่สวนดอกไม้ได้แล้ว รออีกสองวัน ชายแก่ดีขึ้นมา เธอค่อยมาดูแลปาจรีย์
“วางใจเถอะแม่ ฉันรู้แล้ว”ฟังกำชับของคุณแม่ปารวีแล้ว ในใจปาจรีย์ก็รู้สึกอบอุ่น พยักหน้าตกลงด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะดูแลตัวเองดีๆ ยังไงในท้องของฉันก็ยังมีลูกอยู่นะ จะให้ลูกเป็นอะไรไปไม่ได้”
“ถูกต้อง เอาล่ะ แม่ไปแล้วนะ”คุณแม่ปารวีลูบหัวของลูกสาว หันกลับออกไป
คุณแม่ปารวีไปแล้ว รอยยิ้มที่ใบหน้าปาจรีย์ก็ค่อยๆหายไป แทนที่มาด้วย ความสับสนและทำอะไรไม่ถูก
จดหมายพงศกรฉบับนี้ ยืนยันเนื้อหาที่คุยโทรศัพท์กับวารุณีในวันนั้นแล้ว และเพราะแบบนี้ เธอจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
พงศกรอยากจีบเธอ ส่วนเธอคบกับเขาไม่ได้
เพราะว่าเธอในตอนนี้ ไม่รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว และไม่มีความทรงจำของเมื่อก่อนแล้วด้วย ที่สำคัญก็คือ ความแค้นของครอบครัวระหว่างพวกเขา สิ่งนี้ เธอคบกับเขาไม่ได้
ไม่งั้น เธอจะรู้สึกมีค่ากับพ่อแม่และตัวเองที่เคยเสียใจเพราะเขาเมื่อก่อนได้ไง?
แต่ว่า ถ้าตัวเองไม่แยแสกับการจีบของเขา เขาจะพาลโกรธอีกไหม ทำอะไรกับเธอหรือพ่อแม่เธออีกไหม?
ทันใดนั้น ปาจรีย์ก็ตกอยู่ในความเงียบ
อีกด้าน แต่ละวันของวารุณีผ่านไปไม่ดีเท่าไหร่นะ
ที่จริงเธอคิดว่าอย่างมากตัวเองกับนัทธีก็เล่นสงครามเย็นกันอยู่แค่สองวัน นัทธีจะประนีประนอมให้เธออยู่ต่อ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า หลายวันแล้ว เธอแข่งรอบชิงเสร็จแล้ว จะประกาศแชมป์รอบสุดท้ายอยู่แล้ว เขาก็ยังไม่ประนีประนอม
ดังนั้น เธอกับเขาจึงเล่นสงครามเย็นอยู่หลายวัน