เมื่อเห็นฉากนี้ มุมปากของนัทธีก็เบ้ขึ้น จากนั้นก็เงียบไปแล้วมองไปที่แววตาของสุขใจ มีความขมขื่นใจ
อย่างไรก็ตามเมื่อกี้อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง เจ้าตัวเล็กนี่ ร้องไห้หนักมากเท่าที่จะร้องได้ ดูเหมือนว่าพ่ออย่างเขาคนนี้เป็นคนร้ายอย่างนั้นแหละ
แต่ตอนนี้เมื่อได้อยู่ในอ้อมแขนของพงศกรแล้ว พึ่งผ่านไปไม่นานก็หยุดร้องแล้ว แถมยังยิ้มให้พงศกรอีกด้วย
คนที่ไม่รู้ คงคิดว่าพงศกรคงเป็นพ่อของเจ้าตัวเล็กนี่ซินะ?
“เจ้าเด็กอกตัญญูจริงๆ” นัทธีพูดพึมพำที่ริมฝีปาก
เมื่อพงศกรได้ยิน ก็พูดด้วยรอยยิ้มที่แสร้งยิ้มว่า “ประธานนัทธีพูดกับสุขใจแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมต่อสุขใจนะ ใครปล่อยให้ตัวนายเองทำให้สุขใจกลัวกันล่ะ? แม้ว่าเด็กจะยังเล็ก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลย เขารู้ว่าใครทำให้เขากลัว ดังนั้นโดยธรรมชาติของเขาแล้วก็ต้องมีจิตใจที่ป้องกันและต่อต้านคนคนนั้นอยู่แล้ว”
“พอเลย หยุดพูดได้แล้ว” นัทธีขมวดคิ้วและพูดขัดจังหวะเขาอย่างรวดเร็ว
มิฉะนั้นยิ่งพงศกรพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น
งั้นก็ชัดเจนแล้วว่าถึงจะเป็นลูกชายของเขา แต่ก็ยังอยู่ในอ้อมแขนของพงศกรอย่างเป็นเด็กดี เขาในฐานะพ่อคนนี้ เขารู้สึกดีต่างหากจะแปลก
พงศกรก็เข้าใจถึงจุดจุดนี้ เขาหยุดพูดและลูบหลังสุขใจต่อไปเพื่อกล่อมสุขใจ
สุขใจมองไปที่พงศกร เมื่อมองไปสักครู่หนึ่งแล้ว หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา และดวงตาของเธอเริ่มกะพริบจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ เห็นได้ชัดว่าความง่วงได้เข้ามาแล้ว
เด็กเล็กน่ะ เดิมทีก็มีความรู้สึกมากอยู่แล้ว และก็มีพลังได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
แถมยังเพิ่งจะร้องไห้มาอีก เจ้าตัวเล็กนี่ก็คงเหนื่อยแล้ว ในเวลานี้จึงผล็อยหลับไป
และอีกอย่างเด็กเล็กก็เป็นพวกบอกว่าหลับก็คือหลับไปเลย วินาทีแรกที่รู้สึกง่วงนอนวินาทีต่อมาก็หลับตาและผล็อยหลับไปเลย
มันรวดเร็วมาก ทำให้คนรู้สึกตลก
หลังจากที่พงศกรเห็นว่าสุขใจหลับไปแล้วจริงๆ เขาจึงส่งสุขใจให้นัทธีด้วยมือทั้งสองข้าง “ประธานนัทธีคืนลูกชายของนายไป”
หากยังไม่คืนกลับไปอีก เขากลัวว่านัทธีคงจะฆ่าเขาแล้ว
เขาปลอบสุขใจนานเท่าไหร่ นัทธีคนนี้ก็คงจ้องมาที่เขานานเท่านั้น และจ้องมองเขาในฐานะนักโทษอีกด้วย ราวกับว่าเขาจะทำอะไรสุขใจจริงๆ อย่างนั้นแหละ
และเมื่อเขายิ่งอุ้มสุขใจนานขึ้น ชายคนนี้ก็มองมาที่เขาด้วยแววตาที่มืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขากำลังระงับอารมณ์อะไรบางอย่าง
และเขาก็รู้ว่าชายคนนี้กำลังระงับความอดทนของเขาอยู่
ความอดทนที่ต้องการจะทำให้เขาตายนี่แหละ
ดังนั้น ทันทีที่สุขใจหลับไป เขาก็รีบส่งเด็กไปให้
เมื่อเห็นว่าพงศกรส่งลูกชายของเขากลับมาตัวเองแล้ว สีหน้าของนัทธีก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาก หลังจากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วและอุ้มลูกชายของเขาอย่างระมัดระวัง
เขากลัวว่าจะรบกวนทำให้เจ้าตัวเล็กตื่น ปรับท่าทางให้เจ้าตัวเล็ก ทุกอย่างมันก็ไม่ง่ายเลย
พงศกรมองไปที่นัทธีที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทันใดนั้นก็เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ดูไม่ออกเลยว่าประธานนัทธีจะดูแลเด็กได้ดีมาก แม้ว่าการอุ้มเด็กก็ดูคุ้นเคย และยังดูคล่องแคล่วมาก คิดๆ ดูแล้วคุณต้องดูแลสุขใจด้วยตัวเองทุกวันแล้วแหละ”
นัทธีเงยหน้าขึ้นและมองเขาอย่างเย็นชา “ยังต้องให้คุณพูดอีกเหรอ? ลูกชายของผม ผมดูแลเองได้แน่นอน”
แม้ว่าเขาจะยุ่ง ไม่สามารถดูแลสุขใจได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
แต่ถึงแม้ตอนที่เขายุ่ง เขาก็จะเจียดเวลาสักสองชั่วโมงต่อวันเพื่อกอด จูบ และพูดคุยกับลูกชาย
นอกจากจะไม่ปล่อยให้ลูกชายลืมเขาแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นเขาต้องปลูกฝังความสัมพันธ์แบบพ่อลูกกับลูกชายตั้งแต่ยังเล็กด้วย
เขาเคยพลาดโอกาสเมื่อตอนที่อารัณกับไอริณยังเด็กแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่อยากพลาดอีกเมื่อตอนที่สุขใจยังเด็กมากอย่างนี้
ไม่อย่างนั้นพ่ออย่างเขา คงจะล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัย
“ดูเหมือนว่าประธานนัทธีจะเป็นพ่อที่ดีจริงๆ” พงศกรพูดพร้อมกับยกแขนกอดอก
นัทธีส่งสายตาไร้สาระให้เขา แล้วก็ไม่สนใจเขาอีก ทำเพียงแค่กอดลูกชายและจ้องมองลูกชายของเขาเอาไว้
เจ้าเด็กน้อยสืบทอดความสมบูรณ์แบบมาจากยีนของเขาและวารุณี
หน้าตาเขากับวารุณีต่างก็ไม่แย่ และโดยธรรมชาติลูกที่เกิดมาก็ไม่มีแย่
เช่นเดียวกับอารัณและไอริณ นั่นเรียกได้ว่างดงามเลยทีเดียว
พูดตามตรง จุดยืนนี้ของเขา ถึงแม้จะเจอเด็กมาไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเลย
ลูกคนรวย แท้จริงแล้วต่างก็ไม่ได้แย่เลย เพราะพวกเขาสามารถเลือกยีนที่ยอดเยี่ยมและให้กำเนิดลูกที่ยอดเยี่ยมได้
ดังนั้นเด็กที่เกิดมา โดยธรรมชาติแล้วก็จะไม่ขี้เหร่ ล้วนหน้าตาดีกันหมด
สรุปแล้วไม่มีลูกคนรวยคนไหนขี้เหร่หรอก
แต่เด็กที่หน้าตาดีเหมือนอารัณและไอริณขนาดนี้ พูดตามตรง เขายังไม่เคยเห็นในแวดวงนี้เลยจริงๆ
เขาสามารถพูดได้โดยไม่อายเลยว่าอารัณและไอริณเป็นตัวท็อปความหน้าตาดีของเด็ก ๆ ในแวดวงแถวนี้ได้เลย
ในฐานะที่สุขใจเป็นน้องชายของพวกเขา แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังเด็กและอวัยวะบนใบหน้ายังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ แต่ก็พอจะสามารถมองออกแล้วว่ารูปร่างหน้าตาในอนาคตของเขาดูดีแค่ไหน
สรุปคือ ลูกทั้งสามคนของเขาและวารุณีนั้นเป็นเด็กที่หน้าตาดีกว่าเด็กบ้านอื่นๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ริมฝีปากบางของนัทธีก็ยิ้มโค้งขึ้น ความภาคภูมิใจบนใบหน้าของเขาที่ไม่อาจระงับได้
เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกมาของนัทธีแบบนี้ พงศกรก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่นะ?
นึกไม่ถึงเลยว่าจะสามารถทำให้ผู้ชายคนนี้ที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมา จะแสดงอารมณ์ออกมาชัดเจนได้อย่างนี้
มันน่าแปลกประหลาดจริงๆ
และแม้จะประหลาดใจ แต่พงศกรก็ไม่ได้ถามออกไป
เพราะเขารู้ว่าถึงแม้ตัวเขาเองจะถาม เขาก็คงจะไม่ได้รับคำตอบ
ดังนั้นทำไมจะต้องเปิดปากนี้พูดไปล่ะ เสียแรงเปล่า
พงศกรดื่มชาอย่างสงบโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไร
นัทธีก็ไม่สนใจเขาเหมือนกัน อุ้มสุขใจและมองด้วยแววตาที่อ่อนโยน
ลูกของตัวเองนั้นก็ช่างน่าหวงแหนเสียจริง มองอย่างไรก็มองไม่พอ
เวลานี้ได้มีเสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้นมา
พงศกรก็วางถ้วยน้ำชาในมือลง และนัทธีก็หันไปมองด้วยเช่นกัน
วารุณีถือโทรศัพท์มือถือเข้ามาจากอีกด้านหนึ่งของวิลล่า เมื่อเห็นนัทธีลงมาชั้นล่างหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ และยังอุ้มสุขใจไว้ในอ้อมแขน และรอยยิ้มที่งดงามก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที “คุณลงมาเมื่อไร?”
เธอเหลือบมองเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาก่อน แล้วจึงนั่งลงข้างๆ เขา
นัทธีมองมาที่เธอแล้วตอบกลับว่า “สักพักแล้ว คุณไปไหนมาเหรอ?”
“ฉันไปเข้าห้องน้ำ หลังจากออกมาฉันก็ได้รับสายโทรศัพท์จากผู้จัดงาน และก็ออกไปรับสายอีกครั้ง โดยบอกฉันและนาน่าว่าอย่าลืมไปเข้าร่วมงานมอบรางวัล” วารุณีโบกโทรศัพท์มือถือแล้วตอบกลับ
นัทธีพึมพำตอบรับ แสดงออกว่าเขารับรู้แล้ว
วารุณีวางโทรศัพท์มือถือลง จากนั้นก็เอื้อมมือออกมา “ส่งสุขใจมาให้ฉันเถอะค่ะ”
“ไม่ล่ะ” นัทธีส่ายหัวปฏิเสธ “แม้ว่าสุขใจจะยังเล็ก แต่ก็เจริญอาหารดีมาก แถมดื่มนมวันละตั้งหลายครั้ง ดูแล้วยังอวบอ้วน อุ้มขึ้นมาก็หนักมาก ถ้าคุณอุ้มนานเกินไปจะเมื่อยแขนเอานะ ดังนั้นคุณพักเถอะ เดี๋ยวผมอุ้มเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ในใจของวารุณีก็รู้สึกหวานปานน้ำผึ้งขึ้นมา จากนั้นก็กอดแขนชายหนุ่มแล้วก็พิงศีรษะขึ้นไป “ที่รัก คุณช่างดีจริงๆ”
นัทธียิ้มอย่างหลงใหล “ผมเป็นสามีของคุณ ถ้าไม่ดีกับคุณ จะดีกับใครล่ะ”
สองสามีภรรยาพูดคุยกัน โดยไม่สนใจว่าตรงหน้าจะยังมีก้างขวางคออยู่
พงศกรมองไปที่คนสองคนที่อยู่ตรงข้าม แล้วอดไม่ได้ที่หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นจึงดื่มชาต่อไป
ในเมื่อคู่สามีภรรยานี้ ไม่ทำเหมือนเขาเป็นคนนอก
งั้นเขาที่เป็นคนนอกนี้ ทำไมไม่มองดูอย่างโจ่งแจ้งล่ะ?
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของพงศกร ร่างกายของวารุณีก็ชะงักแข็ง จากนั้นจึงจะได้สติกลับมา เมื่อกี้ตัวเองละเลยเขาไป และนึกไม่ถึงว่าตัวเองกับนัทธีอยู่ติดแนบกันแบบนี้
แต่ว่าโชคดี ที่ตัวเองไม่ได้พูดอะไรที่น่าอายเกินไปกับนัทธี ไม่เช่นนั้นก็คงจะยิ่งเก้อเขินขึ้นไปซะอีก
“ขอโทษนะพงศกร พอดีเมื่อกี้…”
พงศกรรู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร เลยโบกมือด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร จริงด้วยวารุณี เมื่อกี้สุขใจร้องไห้แล้ว”
เขาพูด
สีหน้าของนัทธีชะงักนิ่งทันที แล้วก็หรี่ตามองเขาอย่างอันตราย
พงศกรจ้องมองนัทธีอย่างไม่เกรงกลัว และยังยิ้มให้นัทธีอีกด้วย
สีหน้าของนัทธีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น
คนคนนี้ตั้งใจและจงใจฟ้องวารุณี!
วารุณีใส่ใจสุขใจมาก เมื่อได้ยินว่าสุขใจร้องไห้แบบนี้ จะต้องเครียดแน่ๆ
แล้วคนนี้ๆ ก็จะพูดได้ว่าเขาเป็นคนทำให้สุขใจร้องไห้ และยืมมือของวารุณี โดยเป้าหมายเพื่อแก้แค้นเขาที่เมื่อกี้ทำท่าทีไม่ดีต่อเขา!
“อะไรนะ? ร้องไห้เหรอ?”
เป็นไปอย่างที่คิดไว้เลย สุขใจจะต้องร้องไห้แน่ วารุณีรีบมองไปยังสุขใจที่อยู่ในอ้อมแขนของนัทธีอย่างรวดเร็ว