ถ้างั้นปาจรีย์ก็จะหลบหน้าพงศกร ถึงขั้นที่จะอยู่ให้ห่างจากพงศกร
ก็คงมีเพียงแบบนี้ ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะไม่หลงรักพงศกรอีกครั้ง
ยังไงซะเมื่อก่อนเธอก็เคยรักเขามาก ถ้าจะให้รักเขาใหม่อีกครั้งคงจะเป็นไปได้ยาก เพื่อที่เธอจะได้ไม่หลงรักเขาอีกรอบ ก็มีเพียงแค่อยู่ให้ห่างจากพงศกรเท่านั้น
ที่ปาจรีย์ทำแบบนี้ ไหนเลยจะไม่ใช่เพื่อปกป้องตัวเอง?
เธอลืมเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวกับพงศกรทิ้งทั้งหมด เธอไม่เข้าใจคนอย่างพงศกร ไม่รู้ว่าชายคนนี้ดีพอที่จะเชื่อใจได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ตกหลุมรักเขาง่ายๆ
เพราะเธอไม่รู้ว่า หลังจากที่เธอตกหลุมรักเขาอีกครั้งแล้ว เขาจะทำร้ายเธออีกครั้งหรือเปล่า
เธอโดนทำร้ายมาแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะลืมเขาไป ปล่อยวางเขา เธอจึงสะกดจิตตัวเอง
ถ้าหากหลงรักเขาอีกครั้ง ก็จะโดยทำร้ายอีกรอบ เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตต่อไปอีกได้ไหม
ยังไงซะสำหรับปาจรีย์แล้วนั้น การตกอยู่ภายใต้กำมือของผู้ชายคนเดียวกันถึง 2 รอบติดนั้น เธอก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เธอจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าตรงนั้นคือกองเพลิง ทำไมถึงยอมกระโดดลงไปอีกครั้งกันล่ะ คนที่จะได้รับบาดเจ็บก็คือคนที่หาเรื่องในตัว
ใครๆ ก็พูดกันว่าการทำร้ายร่างกายของคนในครอบครัวหากมีครั้งที่หนึ่งแล้ว ก็ต้องมีครั้งที่สอง และครั้งถัดๆ ไปตามมา
เช่นเดียวกัน การทำร้ายคนคนหนึ่ง ยังไงก็ต้องมีครั้งที่สอง
เพียงแค่ปาจรีย์ยังคงยืนหยัดความคิดแบบนี้ต่อไป ก็จะไม่ตกหลุมรักพงศกรง่ายๆ อีก
ดังนั้นหากพงศกรอยากจะได้ใจเธอไปครองอีกครั้ง มันก็คงไม่ง่ายขนาดนั้น ยังคงมีหนทางอีกยาวไกลที่ต้องเดิน
รวมไปถึงการให้อภัยจากคุณอาและคุณน้าด้วย
เชื่อเถอะ ในอีกหลายปีข้างหน้า บางทีพงศกรก็ต้องวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวของปาจรีย์และตระกูลสวนจันทร์ก็นั่นแหละ
คิดแล้ว วารุณีก็ส่ายหัวแล้วหัวเราะน้อยๆ จากนั้นก็จับราวบันไดแล้วเดินขึ้นอาคารไป
ที่จริงเธอกะว่าจะไปถามความจริงกับลีน่า ถามเธอว่าแท้จริงแล้วส่งอะไรมากันแน่
ถ้าลีน่าไม่พูด ก็จะบังคับให้เธอพูด
แต่ตอนนี้ เธอก็ไม่มีอารมณ์แบบนั้นแล้ว
ทุกคนล้วนปิดบังเธอ คนที่พอจะเดาได้อย่างพงศกรก็ไม่ยอมบอก ทำให้เธอไม่อยากรู้อยากเห็นของในกล่องแล้ว
ยังไงซะความอยากรู้อยากเห็นก็คือความร้อน หากความร้อนคลายไป ทุกอย่างก็ไม่มีเหลือ
เธอกลับห้องไปพักผ่อนดีกว่า
วารุณีกลับมาถึงชั้น 3 เปิดประตูห้อง แล้วเดินเข้าไป
ภายในห้อง ชายผู้หนึ่งยังคงนั่งอยู่บนโซฟา บนตักมีแล็ปท็อปวางอยู่ กำลังกดแป้นพิมพ์ไปมา
พอได้ยินเสียงฝีเท้า ชายหนุ่มก็เอ่ยปากขึ้นโดยไม่เงยหน้ามองว่า “กลับมาแล้วเหรอ?”
“อืม” วารุณีพยักหน้า
ในที่สุดนัทธีก็ยอมเงยหน้าจากจอคอมขึ้นมา แล้วหันหน้าไปมองเธอ “ไปไหนมา?”
“ไปด้านล่างตึกมาน่ะ กะว่าจะถามลีน่าสักหน่อยว่าเธอส่งอะไรมากันแน่ เธอทำลับๆ ล่อๆ ก็แล้วไป คุณก็ทำตัวลับๆ ล่อๆ ตามไปด้วย ทำซะใจฉันคันยุบยิบๆ เลย ฉะนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะไปหาเธอน่ะ”
“หืม? งั้นคุณถามเคลียร์รึยังล่ะ?” นัทธีถามอย่างเย้าแหย่
ในใจกลับชัดเจนแจ่มแจ้ง เธอต้องถามไม่ได้ความอะไรแน่ๆ
ถ้าถามแล้วได้ความ เธอคงไม่แสดงอาการแบบนี้หรอก แต่ควรที่จะหน้าแดง หูแดงถึงจะถูก
เป็นไปตามคาด หลังจากที่ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม วารุณีมองบนไปทีหนึ่ง “ถ้าฉันถามได้ความแล้ว จะแสดงอาการเป็นแบบนี้ไหม?”
นัทธีหัวเราะเสียงต่ำ
วารุณีพูดอย่างหงุดหงิดว่า “พวกคุณปิดบังฉันต่อไปเถอะ คุณปิดบังฉัน ลีน่าก็ปิดบังฉัน แม้กระทั่งพงศกรยังไม่บอกฉันเลย! มันน่าโมโหจริงๆ!”
พอได้ยินถึงชื่อพงศกร รอยยิ้มบนหน้าของนัทธีก็จางหายไป “เขาก็รู้ด้วยเหรอว่าลีน่าส่งอะไรให้น่ะ?”
วารุณีตอบอืมมาคำหนึ่ง “เมื่อกี้ตอนฉันขึ้นมา บังเอิญเจอเขาที่บันไดพอดี เขาจะออกไปข้างนอก ดังนั้นเลยทักทายเขาไปสองสามประโยค พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาบอกว่าเขาเดาได้ว่าลีน่าให้อะไรฉันมา ฉันถามเขาแล้วแต่เขาก็ไม่บอก แล้วบอกว่าถ้าเขาพูดออกไปแล้ว คุณต้องไปสะสางบัญชีเขาแน่ๆ ”
ได้ยินดังนั้น ความไม่พอใจบนใบหน้าของนัทธีก็เลือนหายไป “นับว่าเขายังพอรู้เรื่อง”
เขาไม่ได้สงสัยเลยว่าพงศกรจะโกหก
ในความเป็นจริง พงศกรจะเดาออกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะยังไงของแบบนั้นก็เดาไม่ยากอยู่แล้ว
เพียงแต่วารุณี เธอนั้นไร้เดียงสามากเกินไปก็เท่านั้น ไม่เคยคิดไปถึงเรื่องแบบนั้น เพราะฉะนั้นเธอเลยเดาไม่ออก
หากเธอคิดถึงเรื่องแบบนั้นสักนิด เธอก็คงยังไม่งงเป็นไก่ตาแตกแบบนี้ ไม่รู้อะไรเลย
เฮ้อ คุณภรรยาซื่อบื้อของเขาเอ๊ย!
“นั่นมันสายตาอะไรของคุณ?” วารุณีมองเห็นสายตาของชายหนุ่มที่มองมาหาตน ดวงตาหรี่แล้วหรี่อีก แล้วเขาก็เดินเข้ามา
นัทธียิ้มมุมปาก “สายตาอะไร?”
“คุณกำลังหมายถึงฉัน?” วารุณีเดินไปตรงหน้าของเขา สองมือเท้าสะโพกแล้วมองไปที่เขา
นัทธีเลิกคิ้วขึ้น “หืม? หมายถึงคุณงั้นเหรอ? คุณดูออกได้ยังไง?”
“ก็ตาสองข้างของฉันมันดูออกน่ะสิ” วารุณีเชิดแล้วเชิดอีก “คุณกำลังบอกว่าฉันโง่!”
ครั้งนี้นัทธีตกใจจริงๆ
คิดไม่ถึง เธอจะดูออกมาได้จริงๆ
มองเห็นความตกใจบนใบหน้าของชายหนุ่ม วารุณีโกรธจนหน้าเล็กๆ นั้นแดงซ่านไปหมด “ดีจริงๆ คุณพูดว่าฉันโง่จริงๆ ด้วย นัทธี คุณจะเกินไปแล้วนะ ฉันโง่ตรงไหนกัน?”
นัทธีเห็นดวงตาของหญิงสาวก็แดงก่ำไปหมด ก็รู้เลยว่าหาเรื่องใส่ตัวแล้ว รีบเลื่อนแล็ปท็อปที่อยู่บนตักออก ลุกขึ้นแล้วดึงเธอมากอดเอาไว้ในอ้อมอก แล้วค่อยๆ ปลอบโยนเธอ “เอาน่าๆ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ได้บอกว่าคุณโง่สักหน่อย ผมก็แค่บอกว่าภรรยาของผมไร้เดียงสาได้น่ารักเฉยๆ ”
“หมายความว่ายังไง? ” วารุณีกะพริบตาปริบๆ “ทำไมคุณก็บอกว่าฉันไร้เดียงสาล่ะ?”
“หื้ม? ยังมีคนอื่นพูดกับคุณแบบนี้ด้วยเหรอ?” นัทธีมองมาที่เธอ “ลีน่าเหรอ?”
วารุณีส่ายหัว “ไม่ใช่ เป็นพงศกร ฉันถามเขาว่าลีน่าส่งอะไรมาให้ฉันกันแน่ เขาไม่ได้ตอบฉัน แต่กลับบอกว่าฉันทั้งไร้เดียงสาบริสุทธิ์ผุดผ่อง”
“เขาไม่ได้พูดผิดซะหน่อย” นัทธีตอบ
วารุณีเม้มปาก “ฉันไร้เดียงสา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับของขวัญที่ลีน่าให้มาด้วย? ”
เธอไม่เข้าใจ
พอเห็นเธอก็ยังไม่ได้คิดไม่ถึงเรื่องแบบนั้น นัทธีก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว ได้แต่บอกเธอไป “เดี๋ยวตอนค่ำๆ คุณก็รู้แล้ว พอถึงค่ำ ผมจะเอาของขวัญมาให้คุณดู แล้วคุณก็จะเข้าใจว่าทำไมพวกเราถึงบอกว่าคุณไร้เดียงสา”
วารุณีเชิดแล้วเชิดอีกอย่างไม่แยแสใดๆ “ฉันไม่ดูหรอกนะ พวกคุณไม่อยากให้ฉันดูนี่ แล้วก็ไม่บอกฉันด้วยว่ามันคืออะไร ความอยากรู้อยากเห็นในใจฉันมันหายไปตั้งนานแล้ว ฉะนั้นฉันขี้เกียจจะดูของที่พวกคุณมุบมิบกันเอาไว้”
“ไม่ดูจริงๆ เหรอ? ” นัทธีหรี่ตาลง
“ไม่ดู!” วารุณีตอบอย่างแน่วแน่
นัทธีจงใจที่จะหยอกล้อเธอ “ถ้าคุณไม่ดู พอถึงตอนนั้นจะมาเสียใจทีหลังไม่ได้นะ”
พอเห็นว่าเขาพูดอย่างจริงจัง หลังของวารุณีก็ค่อยๆ ตั้งตรง “หมายความว่ายังไง? ไม่ใช่ว่าของนั่นเป็นของสำคัญมากหรอกนะ?”
นัทธีทำเสียงฮึออกมาทีหนึ่ง
พูดกับเธอว่า อาจจะไม่ใช่ แต่สำหรับเขาแล้ว มันใช่
แต่เขาจะบอกเธออย่างนี้ไม่ได้
พอเห็นว่านัทธีไม่พูด ใช้เพียงแค่พยางค์เดียวตอบเธอ วารุณีก็ยิ่งคิดว่าตัวเองพูดถูก
ของสำคัญมาก ถ้างั้นจะไม่ดูไม่ได้
ถ้าเกินว่าพลาดไปแล้ว หลังจากนี้ก็คงต้องมานั่งเสียใจภายหลัง
คิดได้ดังนั้น วารุณีกัดริมฝีปากล่าง “ในเมื่อคุณบอกว่ามันสำคัญขนาดนั้น ก็ได้ งั้นตอนค่ำฉันจะฝืนใจดูสักหน่อยแล้วกัน”
พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโสของเธอ นัยน์ตาของนัทธีพลันเป็นประกาย ริมฝีปากบางๆ นั้นก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “โอเค งั้นคุณจะมาเปลี่ยนใจไม่ได้นะ”
“ไม่เปลี่ยนใจหรอก ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น” วารุณีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
เธอที่เป็นแบบนี้มันชั่งน่ารักซะให้ตายจริงๆ
นัทธีทนไม่ได้ กัดเบาๆ เข้าที่ปลายคางของเธอทีหนึ่ง “งั้นก็ดี ตอนค่ำหลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมจะให้คุณดู”
ในใจของวารุณีพลันกระตุกไปทีหนึ่ง “หลังอาบน้ำเสร็จ? ”
เธอมองจ้องไปที่ชายหนุ่ม “ทำไมต้องดูหลังอาบน้ำเสร็จ? ”
ไม่รู้ทำไม ในใจเธอมีความรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ตอนแรกคิดว่า นั่นอาจจะไม่ใช่ของดีอะไร
เธอจะมาเสียใจตอนนี้ทันรึเปล่า?
นัทธีมองความลังเลใจของหญิงสาวออก แกล้งทำเป็นเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “เพราะอาบน้ำเสร็จแล้วค่อยดู ถึงจะมีประโยชน์”
“เป็นสกินแคร์อะไรทำนองนั้นเหรอ?” ตาของวารุณีหมุนไปมา เริ่มหลอกถามเขา
เขาไม่บอกเธอ งั้นเธอก็จะเดาเอง
ถ้าเดาถูกขึ้นมาล่ะ?