“…” พงศกรพูดไม่ออก
ถ้าพูดอย่างนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนก่อให้เกิดมันจริงๆ
หากเขาไม่บอกว่าจะอุ้มสุขใจ วารุณีก็คงไม่ส่งสุขใจให้เขาอุ้ม
เขาไม่ได้อุ้มสุขใจ เมื่อนัทธีลงมาก็เอาแต่มองจิกเขาจนทำให้สุขใจกลัวไปหมด
ดังนั้นการที่สุขใจร้องไห้ก็เป็นความรับผิดชอบของเขา
เมื่อเห็นว่าพงศกรไม่พูด ทำท่าเหมือนยอมรับโดยปริยาย สีหน้าของนัทธีก็เปลี่ยนเป็นมืดมนในทันที
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะหาเรื่องพงศกร วารุณีก็รีบกอดแขนของนัทธีทันที “พอแล้วนัทธี เรื่องทุกอย่างผ่านไปแล้ว ตอนนี้สุขใจก็ไม่ได้ร้องแล้ว จะหาคนผิด ก็ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน”
นัทธีมองมาที่เธอ จากนั้นก็มองไปที่พงศกร แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ท่าทางของเขายังคงหัวเสีย และไม่ค่อยดีนัก
เมื่อเห็นอย่างนี้ วารุณีจึงยิ้มส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แล้วจูบที่ใบหน้าของเขาเบาๆ
เห็นได้ชัดว่านัทธีไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะทำสิ่งนี้จึงตกตะลึงไปทันที
ไม่นานหลังจากนั้นเขาถึงตอบสนองกลับมา เขาสัมผัสแก้มที่โดนจูบ ก่อนริมฝีปากบางของเขาจะยกยิ้มมา
“เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ยังโกรธอยู่หรือเปล่า” วารุณีมองชายหนุ่มแล้วถาม
ตาของชายหนุ่มเป็นประกาย เขากระแอมเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเขามีความสุขมาก แต่เขาจงใจแกล้งทำเป็นนิ่งแล้วพูดว่า “ก็ดี ไม่ได้โกรธเท่าเมื่อกี้”
พงศกรกลอกตา
ผู้ชายคนนี้น่าเบื่อ และหน้าด้านจริงๆ
เห็นได้ชัดว่ามุมปากของเขายังไม่สามารถเอาลงได้เลย ยังจะทำเป็นมีความสุขแค่นิดเดียวอีก
เอือมจริงๆ
วารุณีก็มองออกว่านัทธีทำเก๊ก จึงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ในเมื่อคุณไม่โกรธแล้วก็อย่าทำหน้าบึ้ง เดี๋ยวตีนกาขึ้นนะ แก่เร็ว”
นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย “อืม”
“พี่นันทา” วารุณีหยิบมือถือออกมาแล้วโทรหาพี่นันทา
หลังจากได้รับสาย พี่นันทาก็ถามทันที “คุณผู้หญิง มีอะไรรึเปล่าคะ”
“สุขใจหลับไปแล้ว มารับสุขใจกลับห้องเถอะ” วารุณีพูดกับคนในโทรศัพท์
พี่นันทาตอบรับ “ค่ะ คุณผู้หญิง ฉันไปมาเดี๋ยวนี้”
“อืม” วารุณีพยักหน้าแล้ววางสาย
นัทธีมองมาที่เธอและถามว่า “ตะกี้พี่นันทาไปไหน สุขใจร้องไห้ก็ไม่มา”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับการทิ้งงานของพี่นันทา
วารุณีมองไปที่ชายผู้ไม่มีความสุย และตบหลังมือของเขาเบาๆ “โอเค อย่าเป็นแบบนี้ ฉันบอกพี่นันทาไปเอง พี่นันทาจะไม่ได้ยินสุขใจร้องไห้ก็เป็นเรื่องปกติ แถมสุขใจก็ไม่ชอบร้องไห้ คุณทำให้ สุขใจร้องไห้เองไม่ใช่หรอ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้นัทธีพูดไม่ออก
พงศกรดูเรื่องตลกอยู่ข้างๆ
นัทธีรู้สึกได้ จึงยกเปลือกตาขึ้นชำเลืองมองเขาอย่างเย็นชา
พงศกรก็ไม่กลัวเช่นกัน หลังจากยักไหล่ เขาก็ยิ้มให้นัทธีด้วย
การเคลื่อนไหวเล็กๆของชายทั้งสองไม่ได้ตั้งใจปิดบัง ดังนั้นวารุณีจึงเห็นมันเช่นกัน
เมื่อเห็นชายสองคนต่างแสดงความไม่พอใจต่อกัน วารุณีก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ผู้ชายสองคนนี้เด็กจริงๆ
แต่เห็นพงศกรซึ่งออกจะร่าเริงและสดใสในวันนี้ วารุณีก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
พงศกรสงบนิ่งกับเธอเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพงศกรที่แสร้งทำเป็นว่าอ่อนโยนในอดีต หรือพงศกรที่ช่างวิพากษ์วิจารณ์ เขาก็สงบเสมอ ไม่เหมือนวันนี้ที่ทั้งขำ และถากถาง
ดังนั้นเธอจึงรู้สึกประหลาดใจและโล่งใจที่ได้เห็น พงศกรเป็นแบบนี้
พงศกรเป็นแบบนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่คนที่อำพราง และเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในใจ ทำให้ไม่มีใครเข้าใจได้
บางทีพงศกรอาจจะมองออกแล้ว หลุดจากความเกลียดชัง และรู้จักความรู้สึกของตัวเอง
ดังนั้นหลังจากปล่อยห่วงเหล่านี้ไป เขาจึงมีความสุขจริงๆ
เพราะอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ไม่ได้รั้งเขาไว้แล้ว เขาจึงสามารถหัวเราะแบบนี้อย่างมีชีวิตชีวาได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ วารุณีก็อดมีความสุขอย่างจริงใจแทนพงศกรไม่ได้
“อ้อนัทธี วันนี้เราให้พ่อครัวทำอาหารเยอะสักหน่อยดีมั้ย เป็นการต้อนรับพงศกร” วารุณีมองไปที่นัทธีและพูดเสนอ
ต้อนรับพงศกรหรอ
คิ้วของนัทธีเกิดรอยย่นขึ้นทันที เขาเหลือบมองไปที่ พงศกรด้วยความรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง
เขาต้อนรับใครก็ได้ แต่ไม่อยากต้อนรับพงศกร
ตอนนัทธีกำลังจะปฏิเสธ ก็มีแสงแวบเข้ามาในดวงตาของพงศกร ก่อนเขาจะยิ้มและพูดว่า “ได้เลย ขอบคุณนะ”
ใบหน้าของนัทธีนิ่งขรึมทันที
ผู้ชายคนนี้ไร้ยางอายมาก
เจ้าของบ้านอย่างเขายังไม่ได้บอกดลยว่าจะต้อนรับ
ชายคนนี้ก็อ้าปากขอบคุณแล้ว
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่บึ้งและตึงนัทธี ริมฝีปากบางของพงศกรก็กระตุก ไม่ต้องพูดเลยว่ามีความสุขขนาดไหน
สรุปสั้นๆก็คือเมื่อเห็นนัทธีไม่มีความสุข เขาก็จะมีความสุข
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณ คุณเป็นเพื่อนของเรา สมควรได้รับการต้อนรับอยู่แล้ว พวกคุณคุยกันไปก่อน ฉันจะไปสั่งพ่อครัว”
วารุณียืนขึ้นและส่งเด็กในอ้อมแขนไปให้นัทธี “อีกไม่นานพี่นันทาก็มา คุณค่อยส่งสุขใจให้เธอ แล้วอย่าให้ให้สุขใจร้องไห้อีกล่ะ”
เมื่อนัทธีได้ยินสิ่งนี้ เส้นสีดำสองสามเส้นก็ปรากฏที่หน้าผากของเขาทันที “ผมทำให้สุขใจร้องไห้แค่หนึ่งครั้ง”
พูดเหมือนเขาชอบทำให้สุขใจร้องไห้งั้นแหละ
วารุณีก็รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นผิด จึงยิ้มให้เขาอย่างขอโทษ “โอเค ฉันไม่ได้ตั้งใจ อย่าโกรธนะ”
“ไม่โกรธ” นัทธีส่ายหัวเล็กน้อย
เขาจะโกรธเธอได้ยังไง
วารุณีเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้ดูโกรธจึงเข้าครัวไปอย่างสบายใจ
หลังจากที่เธอจากไป ชายทั้งสองก็สู้กันเหมือนไก่ชนอีกครั้ง
มันไม่ใช่การต่อสู้ที่ชัดเจน แต่เป็นแค่การมองหน้ากันและไม่ทำอะไรเลย แต่มันก็สามารถทำให้คนเห็นมองออกว่าคนสองคนนี้เป็นศัตรูกัน และไม่สามารถอ่อนข้อให้กันได้
จนกระทั่งพี่นันทามาถึง ทั้งสองคนก็ดึงสายตากลับ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณผู้ชาย ส่งคุณหนูให้ดิฉันค่ะ” พี่นันทามาหานัทธี และยื่นมือออกมาพร้อมที่จะอุ้มเด็ก
นัทธีไม่ได้พูดอะไร เขาอุ้มสุขใจอย่างระมัดระวัง “ดูแลนายน้อยให้ดี”
“ค่ะ” พี่นันทาพยักหน้าและอุ้มเด็ก
พงศกรพูดขึ้น “คุณนัทธี คุณขี้กังวลจริงๆ พี่นันทา เป็นมืออาชีพ คุณยังต้องเตือนอีกไหม”
นัทธีรู้ว่าเขาจงใจพูดแบบนี้เพื่อทำให้เขาโกรธ
นัทธีขี้เกียจที่จะสนใจ จึงโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้พี่นันทาพาเด็กออกไป
พี่นันทารู้สึกว่าบรรยากาศไม่ค่อย เธอจึงไม่ได้พูดอะไรอีก และอุ้มเด็กออกไป
นัทธียืนขึ้น และมองไปที่พงศกรอย่างเย็นชา “ถ้าคุณไม่อยากให้ผมไล่คุณออกไปก็ช่วยเงียบหน่อย”
พงศกรเลิกคิ้ว “ได้ ผมจะไม่พูด”
ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของเขา วารุณีอยู่ที่นี่ เมื่อวารุณีช่วยพูดให้เขา เขาสามารถหาเรื่องนัทธีได้โดยไม่ต้องคิดอะไรเลย
แต่ตอนนี้วารุณีไม่อยู่ ก็ควรฝืนใจหน่อย ไม่อย่างนั้นจะโดนไล่ออกไปในที่สุด
นัทธีเห็นว่าพงศกรอยู่ในความสงบแล้ว ดังนั้นเขาจึงชักสีหน้าอย่างเย็นชา และเดินไปที่ห้องครัว
วารุณีไปที่ครัวเพื่อสั่งพ่อครัวให้ทำอาหารต้อนรับพงศกร ก็ควรสั่งทำไม่กี่อย่างก็พอ ไม่ต้องใส่ใจขนาดนั้น
ทำให้พงศกรสิ้นเปลืองเปล่าๆ
เขาอยากจให้อาหารสุนัขมากกว่า
หลังจากที่นัทธีออกไป พงศกรก็หยิบถ้วยน้ำชาของเขาขึ้นมา และยิ้มออกมาขำๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็กังมาจากทางเดิน ตามด้วยเสียงผู้หญิงชัดเจนพร้อมรอยยิ้ม “วารุณี ฉันกลับมาแล้ว ฉันเอาของขวัญมาให้เธอกับคุณนัทธีด้วย”