วารุณีหน้าแดง
เสื้อผ้ามีรอยยับ ทำไมมันถึงมีรอยยับ ไม่จำเป็นต้องพูดเลย
ในครัวตอนนั้นเขากดทับเธออย่างแรงจนเธอขยับไม่ได้ และร่างกายก็อ่อนแรงไปหมด
เพื่อจะยืนหยัด แน่นอนเธอต้องหาอะไรยึด
และเสื้อของเขาเป็นที่ยึดที่ดีที่สุด มันเลยมีรอยยับไง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ วารุณีก็กระแอมเบาๆ แล้วมองชายหนุ่มด้วยความโกรธ “โอเค คุณรีบไปเถอะ”
เธอมีน้ำเสียงเร่งเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้เขาหยุดพูด
บางทีเขาอาจจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอหน้าแดงและใจเต้นอีกก็ได้
นัทธีมองไปที่วารุณีที่หน้าแดงเขินอายอย่างน่ารัก จึงหัวเราะเบาๆ และก้าวขายาวเดินออกไป
ไม่นานที่ประตูห้องครัวก็เหลือเพียงวารุณีและลีน่าเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าร่างของนัทธีหายไปจนลับตา และไม่มีเสียงเดินอีกต่อไป ลีน่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และตบหน้าอกของเธอพรางพูด “เยี่ยมมาก ในที่สุดยมฑูตก็ไปแล้ว”
ยมฑูต
วารุณีเลิกคิ้วขึ้น “ลีน่า ต่อหน้าฉัน เธอบอกว่าสามีฉันเป็นยมฑูต ไม่กลัวฉันฟ้องเหรอ”
เธอพูดด้วยรอยยิ้มขัน
ลีน่ามองมาที่เธอและยิ้ม “วารุณี ฉันรู้ว่าเธอคงไม่ทำ ฉันจึงกล้าพูดแบบนั้นน่ะสิ”
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่ทำ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ฉันจะไม่ทำ” วารุณียกแขนขึ้น จงใจทำให้เธอกลัว
ลีน่าจับแขนของเธอและเขย่าอ้อน “โอ้ย วารุณีคนดี อย่าทำแบบนี้เลย เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เป็นเพื่อนรักกัน เธอจะเอาฉันให้ตายแบบนี้ไม่ได้”
วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ฉันจะเอาเธอให้ตายตอนไหน เป็นเพราะปากเธอเองไม่ใช่หรอ”
ลีน่าหัวเราะอีกครั้ง “ช่วยไม่ได้ เมื่อกี้ประธานนัทธีน่ากลัวมาก ตอนเขามองมา วิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง สำหรับฉัน เขาไม่ใช่ยมฑูตหรือไง”
วารุณีส่ายหัวอย่างขบขัน “เอาล่ะ ฉันล้อเล่น ฉันไม่บอกเขาหรอ”
“ฉันรู้ว่าวารุณีดีที่สุดแล้ว” ลีน่ายิ้มและเอนศีรษะไปซบไหล่วารุณี “แต่วารุณี เธอต้องพูดแทนฉันอีกนะ ฉันบังเอิญเห็นพวกเธอจูบกัน และทำให้เกิดเสียง ที่ประธานนัทธีโกรธ จริงๆไม่ใช่เพราะโดนฉันเห็น แต่เพราะเสียงของฉันรบกวนพวกเธอ ฉะนั้นต่อจากนี้ประธานนัทธีต้องมองฉันด้วยความเกลียดชัง ภายใต้แรงกดดันอย่างนี้ ฉันต้องอยู่อย่างวิตกกังวลแน่ เธอต้องช่วยฉันทำให้อารมณ์ของประธานนัทธีคงที่ และอย่าให้ประธานนัทธีเห็นฉัน และทำให้ฉันลำบาก”
“อย่ากังวลไป เขาไม่ทำหรอก อย่าคิดมาก” วารุณี กล่าวอย่างขบขันเมื่อเห็นว่าเธอกลัวแบบนี้
“คิดมากหมายความว่ายังไง” หลังของลีน่าเหยียดตรง ใบหน้าของเธอดูจริงจังมาก “ฉันพูดจริง ประธานนัทธีระวังตัวมาก พวกเธออยู่ในสงครามเย็นกันมาตั้งนานกว่าจะคืนดีกัน ประธานนัทธีอุตส่าห์เข้าใกล้เธอแล้ว แต่ก็ถูกฉันขัดจังหวะโดยบังเอิญ ประธานนัทธีคงมีความแค้นอยู่ในใจ เมื่อเห็นฉัน เขาก็จะนึกถึงเรื่องที่ฉันไปรบกวนเวลาดีๆของเขา ไม่ทำให้ฉันลำบากสิถึงจะแปลก”
เมื่อเห็นว่าเธอมั่นใจมาก วารุณีก็ไม่รู้ว่าจะปลอบเธอยังไงให้รู้ว่านัทธีไม่สร้างความลำบากให้เธอหรอก
วารุณีจึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ และหัวเราะเบาๆ “เอาล่ะ ในเมื่อเธอคิดอย่างนั้น งั้นฉันจะจับตาดูเขา พยายามไม่ให้เขาหาเรื่องเธอแล้วกัน”
ดวงตาของลีน่าเป็นประกาย “เยี่ยมมาก ขอบใจนะวารุณี”
วารุณีบีบมือเธอ “อย่าเพิ่งตื่นเต้น มันยังไม่เกิดขึ้น”
“แน่นอน ฉันต้องตื่นเต้น เพราะเธอคือเกราะป้องกันของฉัน ดังนั้นฉันต้องเอาใจเธอ” ลีน่าพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเธอก็นึกถึงบางอย่างได้จึงกลอกตาและยิ้มแซว ” แต่วารุณี ไม่คิดว่าเธอกับประธานนัทธีจะดุกันขนาดนี้นะเนี่ย ขนาดในครัวยัง…คิคิ”
เธอไม่พูดประโยคหลัง แต่แทนที่ด้วยเสียงหัวเราะมีเลศนัย
แต่ทุกคนเข้าใจความหมายดี
วารุณีหน้าแดงอีกครั้ง และพูดอย่างเขินอายว่า “มีอะไรน่าตกใจ อย่างที่เธอพูด เราอยู่ในสงครามเย็นมาหลายวันแล้ว เขาไม่ได้เข้าใกล้ฉันมานาน นี่ดีกันแล้ว จะทนทำไม”
“อ้อ~~” ลีน่ายิ้มและลากหางเสียงอย่างมีเลศนัย “ทนไม่ได้ด้วย วารุณี เธอเปลี่ยนไปแล้ว”
“ฉันเปลี่ยนไปยังไง” วารุณีมองเธอ
“เปลี่ยนเป็นกล้าหาญและป่าเถื่อน” ลีน่ายกนิ้วโปเงขึ้นมาสองนิ้ว แล้วกดกันไปมา “เธอเมื่อก่อน แค่ฉันเห็นเธอกับเขาจู๋จี๋กันนิดเดียว เธอก็อายมาก แต่วันนี้ฉันเห็นพวกเธอจู๋จี๋กันจริงๆ เธอกลับไม่อายเลย แถมยังกล้าพูดว่าทนไม่ไหว แบบนี้ไม่เรียกว่าเปลี่ยนแล้วจะเรียกว่าอะไร โดนฉันแซวบ่อยจนหน้าหนาแล้วหรอ”
เธอกระแทกไหล่วารุณี
วารุณีก้าวไปด้านข้าง เว้นระยะห่าง แล้วตอบหน้าแดงว่า “ก็ประมาณนั้น ฉันโดนเธอแซวมาหลายครั้งแล้ว ฉันชินแล้ว จะไม่หน้าหนาได้ยังไง”
“คิคิ ดูเหมือนจะเป็นเพราะฉันจริงๆ” ลีน่าพูดด้วยรอยยิ้ม “จริงๆแล้ว เป็นคนหน้าหนาก็ดี ถ้าเอาแต่อายก็ไม่ได้กินพอดี”
“มีเหตุผล” วารุณีกรอกตา
หลังจากนั้นเธอก็ถูขมับและเริ่มพูดเข้าเรื่อง “ว่าแต่เธอมาเมื่อไหร่ มาทำอะไรในครัว”
“เพิ่งมาไม่นาน” ลีน่ากางมือแล้วตอบ “ฉันไม่ได้บอกก่อนออกมาแล้วเหรอว่าฉันจะเตรียมของขวัญพิเศษให้เธอกับประธานนัทธี ฉันเลยออกไปซื้อของขวัญให้ แล้วก็กลับมา จากนั้นฉันก็เห็นพงศกรอยู่ในห้องนั่งเล่น ได้คุยกันนิดหน่อยจนรู้ว่าพวกเธออยู่ในห้องครัว ฉันเลยมาหา ตั้งใจจะเอาของขวัญมาให้ ใครจะคิดว่านัทธีก็อยู่ แถมยัง…แต่วารุณี ท่าทางของประธานนัทธีที่กดเธอติดผนังแล้วจูบนั้นหล่อมาก เธอโชคดีมากเลยนะที่มีสามีหล่อแบบนี้”
เธอขยิบตาให้วารุณีด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าวารุณีจะเขิน แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความภาคภูมิใจในสายตาของเธอได้ “ก็ดีมั้ง แค่หล่อกว่าผู้ชายทั่วไปนิดหน่อย”
“วารุณี สิ่งที่เธอพูดมันน่าตีจริงๆ” ลีน่าเหล่มองเธอ
วารุณีหัวเราะเบาๆแล้วโบกมือ “โอเค ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว ของขวัญล่ะ”
เธอยื่นมือออกไป
ลีน่าชี้ไปทางห้องนั่งเล่น “อยู่ในห้องนั่งเล่น ฉันไม่ได้เอามา”
“งั้นไปกันเถอะ” วารุณีคว้าแขนของเธอ “ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าเธอเตรียมของขวัญอะไรให้ฉันกับนัทธี”
แววตาชั่วร้ายส่องประกายในดวงตาของลีน่า และใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ต้องห่วง ประธานนัทธีจะชอบมันอย่างแน่นอน”
“ทำไมเขาถึงชอบมาก” วารุณีไม่เข้าใจ
ความหมายของสิ่งนี้ชัดเจน
นั่นคือเธออาจะไม่ชอบมัน แต่นัทธีชอบมันมากแน่นอน
ทำให้วารุณีมีลางสังหรณ์ไม่ดีในใจโดยไม่รู้ว่าทำไม
“เพราะผู้ชายชอบอะไรแบบนี้” ลีน่ายกเปลือกตาขึ้น และพูดอย่างไม่เชื่อ
ลางสังหรณ์ของ วารุณี ยิ่งแย่ลงไปอีก
“อ้อ มันคืออะไร” วารุณีถาม
ลีน่าโบกมือ “พูดไม่ได้ เดี๋ยวเห็นก็รู้เอง ไม่ต้องห่วง เป็นสิ่งที่จะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ของเธอกับประธานนัทธีได้แน่นอน ไปกันเถอะ ฉันจะพาไปดู”
วารุณีได้ยินสิ่งที่เธอพูดก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่ามันคืออะไร ถ้าเธอไม่เห็นมันด้วยตัวเอง เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตามเธอไปที่ห้องนั่งเล่น
ไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว ไม่รู้พงศกรกลับไปตอนไหน
วารุณีตามลีน่าไปที่โซฟา บนโซฟามีกระเป๋าสวยวางอยู่ กระเป๋าเป็นกล่อง
กล่องไม่ใหญ่มาก ขนาดประมาณกล่องรองเท้า ทั้งกล่องและกระเป๋าเป็นสีดำและแพคอย่างแน่นหนา
วารุณีมองไม่ออกว่าอะไรอยู่ข้างใน