เฉินเฉียวไม่เชื่อคำพูดของลูกชาย
หลังจากพูดวันที่จะกลับอย่างชัดเจนแล้ว เธอก็ถามเหมิงเหมิงปรับตัวกับโรงเรียนได้หรือไม่ แล้วก็วางสาย
ด้วยความสงสัยในใจเฉินเฉียวจึงกดโทรศัพท์และโทรหาซังหลินจวินทันที
หลังจากกดโทรแล้วผ่านไปนานก็ยังไม่มีคนรับ เฉินเฉียวยังคงกดโทรต่อไปจนกระทั่งครั้งที่สามถึงมีคนรับ มีเสียงอันไพเราะที่คุ้นเคยจากปลายสายดังขึ้น
“ เฉียวเฉียว มีอะไรหรือเปล่า? เมื่อสักครู่นี้ผมกำลังประชุม ”
อ๋อ งั้นเหรอ? ฉันคิดว่าคุณอยู่ต่างประเทศซะอีก “ประโยคแรกของเฉินเฉียวก็ไปจี้จุดเขา
เสียงของอีกฝ่ายก็เบาลงทันที เหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังคุยกับเขา
ผ่านไปเป็นเวลานานก่อนที่จะตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะ: “จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ บริษัทยุ่งขนาดนั้นผมจะมีเวลาไปได้ยังไง”
เฉินเฉียวเม้มริมฝีปาก เธอไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เขาพูดหลังจากได้ยินคำพูดของลูกชายเธอ
จากนั้นก็คุยเรื่อยเปื่อยสองสามประโยค เธอก็เปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องลูกของฉยงฉยง
“หลินจวิน เมื่อวานคุณไม่ได้เห็น คุณเจียงอุ้มลูกหน้าซีดเชียว ท่าอุ้มลูกแบบนั้นสู้คุณไม่ได้เลย”
ซังหลินจวินไม่คิดว่านี่เป็นคำชม แต่ในใจเขารู้สึกอิจฉาอี้ฝานมากๆที่ได้เห็นหน้าลูกตอนคลอด
ยังไงซะเขากับเฉียวเฉียวก็มีลูกสองคน อีกคนเฉียวเฉียวไม่ได้คลอดเอง ส่วนอีกคนไม่ได้อยู่กับเขา เหมิงเหมิงห่างหายไปหลายปีพอเขาได้พบเหมิงเหมิงก็เดินได้พูดได้แล้ว
ดังนั้นซังหลินจวินอยากเห็นลูกเขากับเฉินเฉียวคลอดกับตา
เมื่อนึกแบบนี้ ใจก็เต้นแรงพลางพูดเบาๆว่า: “เฉียวเฉียว รอคุณกลับมาพวกเรามามีลูกกันอีกสักคนดีไหม?”
ทั้งคู่อายุยังไม่มาก มีลูกอีกสักคนคงจะไม่มีใครว่าอะไร
เฉินเฉียวไม่ให้โอกาสเขาและปฏิเสธตรงๆ: “ไม่ดี คุณไม่ได้เป็นคนคลอดคุณก็พูดได้สิ”
ซังหลินจวินถูกหยุดด้วยประโยคหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมเฉียวเฉียวโกรธขนาดนี้ เขาคิดว่าคำพูดประโยคนั้นทำให้เธอเคือง เขาเลยรีบพูด: “โอเคๆ ไม่ก็ไม่”
เฉินเฉียวที่นั่งอยู่บนม้าหินเริ่มจะโมโห เธอไม่ใช่ว่าไม่อยากมีลูกเพิ่มกับเขา เธอโกรธที่เขาปิดบังเรื่องในวันนี้
การเปลี่ยนหัวข้อไปที่ลูกของฉยงฉยงเพราะเธออยากให้เตือนเขาเรื่องลูกอ้อมๆ แต่เขากลับไม่สนใจยังจะพูดเรื่องอยากมีลูกเพิ่มอีก
เมื่อระงับความโกรธในใจได้เธอจึงถามอีกครั้ง: “ซังหลินจวิน คุณจะปิดบังฉันจริงๆเหรอ? วันนี้ฉันโทรกลับบ้าน โย่วอีบอกว่าคุณไปต่างประเทศแล้ว ทำไมคุณต้องปิดฉันด้วย”
เฉินเฉียวทั้งโกรธทั้งไม่เข้าใจ
แม้ว่าซังหลินจวินซึ่งกำลังคุยโทรศัพท์อยู่บนถนนที่ไร้คนริมแม่น้ำเวนิส แต่ไม่คาดคิดว่าเฉียวเฉียวจะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในประเทศ แต่เขาก็พยายามปลอบเธอ: “เฉียวเฉียว คุณอย่าคิดมากสิบริษัทมีประชุมที่อิตาลีพอดี ผมก็เพิ่งรู้ ”
“อะไรนะ คุณไปอิตาลี”คราวนี้น้ำเสียงของเฉินเฉียวดูตกใจมาก
ตอนแรกเธอคิดว่าหลินจวินไปต่างประเทศนั้นหมายถึงไปอังกฤษ คิดว่าเขาจะแอบมาหาเธอ หรือไม่ก็มาเซอร์ไพรส์เลยไม่ได้บอก
คิดไม่ถึงว่าเธอจะคิดเองเออเองทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นานเฉินเฉียวก็ขมวดคิ้วและพูดว่า: “ไหนๆคุณก็จะไปคุยเรื่องงานที่อิตาลีแล้ว ทำไมไม่บอกฉันคุณท่าทางลับๆล่อๆแบบนี้ทำให้ฉันเข้าใจผิดได้ง่ายๆ เข้าใจไหม
ซังหลินจวินได้ยินความโกรธในคำพูดของเฉียวเฉียวก็รีบพูดด้วยเสียงเบาๆ“ มันเป็นเรื่องงานร่วมทุนที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน”
หลังจากฟังเขาเฉินเฉียวก็ไม่ได้ถามอะไรอีก พอรู้ว่าหลินจวินอยู่อิตาลีแล้วเธอก็ไม่อยากพูดอะไรอีก ถ้าเขารู้เรื่องที่เธอคิดเองเออเองคงจะอายมาก
เฉินเฉียวรู้ว่าหลินจวินมีงานอีกเยอะแยะต้องจัดการ เธอเตือนให้เขาระวังเรื่องสุขภาพและวางสายในที่สุด
พอเดินมาถึงห้องผู้ป่วยเห็นฉยงฉยงกับเจียงอี้ฝานอุ้มลูก สายตาเฉินเฉียวก็ฉายแววอิจฉา
ตอนอยู่ด้วยกันที่บ้าน มักจะละเลยความอบอุ่นอ่อนโยนของคนในบ้าน
แต่หลังจากออกไปแล้ว เฉินเฉียวก็เริ่มคิดถึงความสงบสุขในบ้านทันที
ซังหลินจวินที่เพิ่งวางสายมองไปที่มุมถนนมืดๆที่ทางแยกเห็นชายใส่ชุดสูทสีดำ ร่างของชายคนนั้นดูคุ้นตา
เมื่อชายคนนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นซังหลินจวินก็เตรียมป้องกันตัว เอามือล้วงกระเป๋าที่คาดเอวอยู่
ตอนที่ซังหลินจวินคิดว่าน่าจะเป็นคนของกลุ่มมาเฟีย แสงจันทร์ก็สาดส่องเข้ามาในที่สุดก็มองเห็นใบหน้าของคนคนนั้นอย่างชัดเจน เขาถามด้วยความตะลึง: “คุณเซิน คุณมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง?”
ซังหลินจวินคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะเจอคนรู้จักที่อิตาลีแถมยังโผล่มาที่คนรอบๆตัวเขาอย่างต่อเนื่อง
เซินหยูในชุดสีดำเงยหน้าขึ้น หลังจากรู้แล้วว่าคนตรงหน้าคือใคร เขาก็ปรากฎรอยยิ้มบนหน้า:“ช่างบังเอิญจริงๆ เจอกันที่อิตาลีอีกแล้ว”
ณ. ร้านอาหารมาร์ล
ทั้งเซินหยูและซังหลินจวินนั่งอยู่ที่มุมหน้าต่าง
บนโต๊ะมีพาสต้าธรรมดา ๆ และทั้งสองคนที่เพิ่งพบกันได้ไม่นานก็เริ่มรับประทานอาหารด้วยกันในร้าน
ทั้งสองคนเป็นคนที่มีมารยาทที่ดีบนโต๊ะอาหาร เลยไม่ได้คุยกันในตอนนี้
หลังจากรับประทานอาหารแล้วทั้งสองคนก็ออกจากร้านอาหารและเดินไปที่บ้านพักชั่วคราวของพวกเขา
เดิมทีพวกเขาว่าแยกกัน แต่เมื่อทั้งสองเดินไปก็พบว่าเลือกโรงแรมเดียวกันอีกแล้ว
ตอนนี้บอกไม่ถูกว่าใครชวนใคร ซังหลินจวินก็เดินตามเซินหยูเข้าห้องเขาไป
“ อยากดื่มไวน์สักแก้วไหม?”รอจนเขานั่งลงบนโซฟาแล้วเซินหยูก็ถามด้วยท่าทางที่เป็นมิตร
ไม่เป็นไรซังหลินจวินปฏิเสธ
เมื่อเห็นว่าซังหลินจวินปฏิเสธเซินหยูก็ไม่แปลกใจหลังจากรินให้ตัวเองแก้วหนึ่งก็จิบหนึ่งคำ พลางพาดแขนไปบนโซฟาอย่างสบายใจ ก่อนจะมองไปที่คนที่นั่งอยู่อีกด้าน
“คุณซังมาอิตาลีเพราะเรื่องเดียวกับผมหรือเปล่า?”
ซังหลินจวินไม่ได้ตอบแต่ถามว่า: “ผมไม่รู้ว่าคุณเซินพูดถึงเรื่องอะไร?”
ในฐานะที่เซินหยูเป็นเจ้าภาพเชิญแขกมา เลยอธิบายให้แขกเข้าใจเขาเลยพูดตรงๆ: “เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการค้นพบสมบัติที่หายไปเป็นเวลาหลายปีในอิตาลีสำหรับงานนี้ เจ้าของสมบัติตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงเนื่องในโอกาสที่ได้สมบัติกลับมาเพราะอย่างนี้ผมเลยมาร่วมงานนี้”
ซังหลินจวินคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้ สำหรับเรื่องสมบัติไม่ได้สนใจมากนักแต่ก็ยังถามเซินหยู “สมบัตินั่นคุณเซินรู้ไหมว่าคืออะไร?”
เซินหยูส่ายหัว
หลังจากจิบไวน์อีกอึกหนึ่งเขากล่าวว่า “ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าสมบัติที่หายไปนั้นคืออะไร แต่ผมรู้ว่าเจ้าของคือใคร