หลังจากตามไปแล้ว ซู้เหยี้ยนกับเชินชิงก็กลับไปที่หมู่บ้านที่พวกเขาทั้งสองอาศัยอยู่
แม้ว่าทั้งคู้จะรวยแต่ก็ไม่ได้อยู่คฤหาสน์เหมือนกับคนอื่นๆ หนึ่งคือเชินชิงรักอิสระ ถ้าอยู่ที่คฤหาสน์ต้องจ้างแม่บ้านมาดูแล สองคือเพราะงานของเขาถ้ามีแม่บ้านอยู่ที่นั่น บางครั้งอาจจะเป็นอันตรายกับคนอื่นๆ
การอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแบบนี้ ทันทีที่เขากลับจากสำนักงานเขาสามารถทำอาหารให้เธอได้ อยู่พูดคุยกับเธอได้
ในพื้นที่ของคนสองคนไม่มีใครอื่น พวกเขาสามารถอยู่ได้อย่างอิสระ
มองไปที่เชินชิงที่ผ้าขนหนูพาดคอหลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเป็นชุดนอนสีขาวและนั่งลงตรงหน้าเขา
ซู้เหยี้ยนวางหนังสือที่เพิ่งอ่านลงพาเธอมานั่งข้างเขา หยิบผ้าขนหนูที่อยู่บนคอเชินชิง และเช็ดหยดน้ำจากหน้าผากของเธอเบาๆ
นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำให้กันและกันทุกครั้งที่อาบน้ำ และดูเหมือนทั้งคู่จะเข้าใจกันโดยปริยาย
หลังจากที่ซู้เหยี้ยนช่วยเชินชิงเป่าผมให้แห้ง เขาก็จับผมสีดำเป็นมันเงาของเธอและก็วางผ้าขนหนูไป
สำหรับเรื่องในวันนี้ ซู้เหยี้ยนก็มีเรื่องที่จะพูดกับเธอ
เมื่อเห็นเธอจ้องเขาตาไม่กะพริบ ซู้เหยี้ยนมองออกว่า เด็กน้อยเงียบๆไม่ค่อยพูดเหมือนแต่ก่อนนั้นตอนนี้มีเรื่องจะคุยกับเขาแล้ว
หลังจากที่พวกเขาอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยกันแล้ว ซู้เหยี้ยนก็พูดขึ้นก่อนว่า: “ชิงเอ่อร์ วันนี้มีเรื่องอยากจะอธิบายให้ผมฟังใช่ไหม”
เชินชิงกะพริบตา ความสงสัยแวบเข้ามาในดวงตาของเธอและพูดเบา ๆ ว่า “ไม่มี”
ซู้เหยี้ยนรู้สึกว่าท่าทางเธอน่ารักมาก
เมื่อเห็นว่าเชินชิงลืมเรื่องที่พวกเขาตกลงกันไว้แล้ว เธอเลยต้องเตือน “เมื่อก่อนเราพูดกันแล้วไม่ใช่เหรอ นอกเสียจากว่าเราจะเลิกกัน ถ้าไม่อย่างนั้นคุณจะตัดผมสั้นไม่ได้ตลอดชีวิตเหรอ?”
เมื่อซู้เหยี้ยนพูดเช่นนี้ เชินชิงก็จำได้เพียงเพราะว่าตอนพูดคำเหล่านี้ออกมาเวลามันผ่านไปนานมากแล้ว เธอลืมหมดแล้ว
เธอจำมือเขาและเขย่า: “ขอโทษนะ อาซู้ ฉันลืมไปแล้ว”
เธอแลบลิ้นออกมา ท่าทางน่ารักมากจนดึงดูดความสนใจของซู้เหยี้ยน
ตั้งแต่เชินชิงเป็นผู้ใหญ่ เธอมักจะเห็นสายตาแปลกๆของอาซู้ เธอรู้ว่าถ้าไม่รีบหยุดยั้ง เธอจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก
เชินชิงย้ายไปอีกด้านหนึ่งของผ้านวมและพูดว่า “อาซู้ทำไมวันนี้ต้องให้ฉันกับคุณเฉินมาทำความรู้จักกันด้วย ฉันกับเฉินเฉียวต่างกันเกินไป ฉันไม่อยากทำให้เธอลำบาก”
เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น ซู้เหยี้ยนขมวดคิ้วและพูดว่า: “ชิงเอ่อร์ คุณจะอยู่บ้านตลอดไม่ได้หรอกนะ ถึงแม้ผมจะมีพี่ชายพี่สาวคอยอยู่กับคุณ แต่พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดเป็นไปไม่ได้ คุณต้องรู้จักออกไปข้างนอกบ้าง เฉินเฉียวคนนั้นผมก็ไม่ได้สนิทอะไรมากมาย อยู่กับเธอคุณจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ในฐานะจะคบเป็นเพื่อน เธอเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว”
เชินชิงไม่ใช่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ สำหรับความหวังดีของซู้เหยี้ยนครั้งนี้เธอแทบไม่อยากจะปฏิเสธ
“อาซู้ฉันไม่ใช่เด็กสิบห้าขวบนะ อีกไม่กี่ปีฉันก็จะสามสิบแล้วฉันตัดสินใจเองได้ ถึงแม้คุณเฉินจะมีประโยชน์ช่วยฉันได้เยอะ แต่ฉันไม่ได้อยากจะคบเพื่อนเพราะหาผลประโยค ถ้าคบเพื่อนเพื่อผลประโยชน์ฉันไม่เคยมีทำ”
ไม่ใช่ว่าซู้เหยี้ยนไม่เคยเห็นความดื้อรั้นของเชินชิงมาก่อน
ตอนแรกที่พวกเขาคบกัน ไม่มีใครเห็นด้วย
แต่ยัยเด็กซื่อคนนี้ยืนกรานพูดกับทุกคนว่าเธอจะคบกับเขา
หลังจากนั้นก็ออกจากบ้าน และไปอยู่กับเขาจนถึงตอนนี้
ตอนนี้เขามีตำแหน่งมีหน้ามีตา มีเงินมีทองและมีเธอข้างกาย
แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่เพราะการยืนกรานของชิงเอ่อร์เขาคิดว่าบางทีเขาอาจจะทนไม่ได้ในตอนนี้
ดังนั้นเมื่อเผชิญกับความดื้อรั้นของเธอ เขาแค่ยิ้มและปล่อยเธอไป
“ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องวาดรูป”ซู้เหยี้ยนดึงผ้าห่มมาคลุมเธอ
เนื่องจากตอนนี้เชินชิงทำงานพาร์ทไทม์ออนไลน์ มีรายได้ค่อนข้างดี ไม่กี่วันนี้เพิ่งพาเธอออกไปเดินเล่นเมื่อเธอว่างๆ
แต่พรุ่งนี้เป็นวันที่เชินชิงต้องส่งงาน เขาดูงานชิ้นนั้นแล้วก็รู้ว่ามีอีกหลายจุดที่ชิงเออร์ยังแก้ไขไม่เสร็จ ตอนนี้อยากให้ชิงเอ่อร์นอนเหตุผลเมื่อกี้เป็นเหตุผลที่ดีที่สุด
เห็นได้ชัดว่าชิงเอ่อร์ไม่ได้คิดซับซ้อนอย่างที่ซู้เหยี้ยนคิด เธอคิดจริงๆ ว่าซู้เหยี้ยนกังวลว่าเธอจะไม่สดชื่นหากเธอพักผ่อนไม่เพียงพอในคืนนี้และจะไม่สามารถส่งงานได้ทันในวันพรุ่งนี้
จู่ๆก็ล้มตัวลงนอนใต้ผ้าห่ม
หลังจากที่เฉินเฉียวและซังหลินจวินกลับบ้าน พวกเขาก็รีบหยิบแผ่นโน้ตที่เขียนคำไว้สองสามคำออกมาดู
สำหรับคำในแผ่นโน้ตนี้ ทั้งสองมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
แม้แต่ปฏิกิริยาของเฉินเฉียวก็รุนแรง เธอมองดูแผ่นกระดาษราวกับว่าในใจรู้สึกว่าจะมีเรื่องสูญเสียเกิดขึ้น
เนื่องจากตอนอยู่ข้างนอก กลิ่นอากาศข้างในมันอับเพราะฉะนั้นกระดาษสองสามแผ่นนั้นแทบไม่มีกลิ่น
แต่ตอนนี้เฉินเฉียวอยู่ที่บ้าน และทุกอย่างในบ้านก็ถูกเช็ดเกือบทุกวัน
กลิ่นที่ไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้กระจายออกมา
ไม่เพียงแต่เฉินเฉียวได้กลิ่นมัน แม้แต่ซังหลินจวินที่ไม่ค่อยสนใจอะไรยังขมวดคิ้ว แสดงให้เห็นถึงว่าคิดอะไรบางอย่างออก
ยังไงก็ตามเฉินเฉียวมีสัญชาตญาณว่าซังหลินจวินน่าจะรู้จักเจ้าของที่ส่งโน้ตให้เธอ เธอต้องการรู้ว่าคนนั้นเป็นใคร ดังนั้นแม้ว่าคิ้วที่ขมวดคิ้วของหลินจวินทำให้เธอรู้สึกเป็นทุกข์ แต่เธอก็ยังเข้มแข็ง ระงับความตื่นตระหนกใน หัวใจเธอถามอย่างใจเย็น: “หลินจวินคุณรู้ไหมว่าใครเป็นคนให้สิ่งนี้กับฉัน”
ตาของซังหลินจวินกะพริบครู่หนึ่งและเขาต้องการปกปิดมัน เพราะว่าคนคนนั้นไม่ได้ยินข่าวคราวมานานแล้ว ตอนนี้โผล่มาเขาไม่แน่ใจว่าจะออกมาก่อเรื่องอะไร หรือแม้กระทั่งเข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรกับเฉินเฉียว
แต่เมื่อเขามองไปที่ใบหน้าของเฉียวเฉียวและต้องการพูดในสิ่งที่เขาคิดไว้ดวงตาที่อ่อนโยนและสงบของเธอก็แฝงความอบอุ่นนุ่มนวลเหมือนเคย
แต่มันทำให้เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ถ้าเขาพูดคำโกหกออกไปความสัมพันธ์ของพวกเขาจะสั่นคลอนอีกครั้ง
เขาเอนตัวลงบนโซฟา เริ่มมีความกังวลทีละน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะคิดลึกและคิดไกลแต่เขาก็รู้สึกเหนื่อย
เฉินเฉียวเห็นท่าทางเขาแบบนั้นก็ไม่คิดที่จะบังคับเขาแล้ว
จ้องมองแผ่นโน้ตแอบพูดในใจว่าไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร เธอจะต้องดูสถานการณ์ว่าจะรับมือยังไง
ในคุกที่มีแสงจ้าเล็กน้อย ร่างผอมบางไม่สามารถลุกขึ้นได้หลังจากถูกพวกผู้หญิงรุมตบ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง