“คุณผู้หญิงสวัสดีครับ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
หลังจากประตูเปิดออกคุณหญิงซังก็เงยหน้าขึ้นมองและเห็นใครบางคนทักทายเธอ คุณหญิงซังเคยพบเคยคุยกับหลินหย่วนมาก่อนและรู้ด้วยว่าร้านนี้เป็นของเขา
หลังจากวางถ้วยชาลงและใช้ทิชชู่เช็ดปากคุณหญิงซังยิ้มและพูดว่า “คนกันเอง มาๆ นั่งด้วยกันสิคะ”
โชคดีที่ในห้องมีเก้าอี้สี่ตัว
โต๊ะสี่เหลี่ยม นั่งคนละด้าน ก่อนที่เฉินเฉียวจะออกไปได้ชงชาไว้เสร็จแล้ว
ถ้วยชาที่เธอเพิ่งหยิบออกมา ตอนนี้มีชาสีเขียวอยู่ครึ่งแก้ว
ใบชาที่ด้านล่างมองเห็นได้ชัดเจนอยู่ที่ก้นถ้วย เฉินเฉียวจิบชารู้สึกมีรสฝาดเล็กน้อย แต่หลังจากกลืนลงคอแล้วก็รู้สึกสดชื่น
แต่ก่อนเฉินเฉียวไม่ค่อยดื่มชามากนัก เธอมักจะดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มอื่นๆ
แต่หลังจากดื่มชานี้ในวันนี้เฉินเฉียวพบว่าจู่ๆเธอก็เข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ดื่มชา
กลิ่นหอมลอยเข้าจมูกหลับตาเพลิดเพลินกับรสชาติที่ค้างคาอยู่ในขณะนี้ มันเป็นความสุขที่ยอดเยี่ยม
คุณผู้หญิงซังพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นเฉินเฉียวกำลังดื่มชา
เธอชอบคนที่มีความสนใจเหมือนกับเธอ เดิมทีได้แต่มองว่าเฉินเฉียวจะชินกับมันได้หรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะมีเซอร์ไพรส์
เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมหลินหย่วนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง
หลินหย่วนที่ถูกคุณผู้หญิงมองอย่างแปลกๆ ตอนที่เธอจะเอ่ยปากถามคุณผู้หญิงก็เริ่มดื่มชาอีกครั้ง
หลังจากดื่มชาเสร็จแล้ว คุณผู้หญิงซังก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอก
เฉินเฉียวไม่ต้องการให้แม่ของเธอรู้เหตุการณ์ข้างนอกเกี่ยวกับแม่เลี้ยงของเธอ เพียงแต่เรื่องนี้นอกจากเธอแล้วก็มีคนที่อยู่ในเหตุการณ์อยู่ด้วย เธอเลยปิดบังไว้ไม่ได้
เธอเลยพูดผ่านๆว่า: “เมื่อสักครู่นี้ฉันเจอคนที่ไม่ยอมจ่ายค่าน้ำชา แต่พอฉันออกไปเรื่องก็คลี่คลายแล้ว”
หลินหย่วนที่แอบฟังอยู่ๆข้างได้ยินถึงความอึดอัดในคำพูดของเฉินเฉียว เขาไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของใคร เขาแค่นั่งเฉยๆไม่ได้พูดอะไร
คุณผู้หญิงซังได้ยินเฉินเฉียวบอกว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นข้างนอกเธอก็ขมวดคิ้วและพูดด้วยความไม่เชื่อ: “คิดไม่ถึงว่าเดี๋ยวนี้จะมีคนแบบนี้อยู่ในสังคม”
เฉินเฉียวเม้มปากและพูดถึงลู่ลี่ลี่
“ คนนั้นคือแม่เลี้ยงของฉันเองค่ะ”
เสียงของเฉินเฉียวเบาลงใบหน้าของเธอซีดและอาย
แม้ว่าเธอจะมีอากาความจำเสื่อมแต่ลู่ลี่ลี่ก็นับว่าเป็นคนในครอบครัวเธอ เรื่องแบบนั้นที่เธอทำ เฉินเฉียวก็รู้สึกอาย
คุณหญิงซังตกใจมากเมื่อเห็นเฉินเฉียวเสียใจ เธอรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีและพูดว่า “เฉียวเฉียว ฉันจะบอกให้นะคุณภาพชาที่นี่ดีมากๆ ตอนกลับพวกเราซื้อกลับบ้านไปหน่อยดีกว่านะ”
หลินหย่วนกล่าว: “คุณผู้หญิงอยากเอาไปกลับเท่าไหร่ก็เอากลับไปเลยครับ ยังไงซะที่ร้านผมมีเยอะ”
คุณผู้หญิงซังไม่คาดคิดว่าหลินหย่วนจะพูดแบบนี้ เลยส่งสายตาชื่นชมไปให้ ทำให้หลินหย่วนลูบจมูกอย่างเขินๆ
เขากับคุณผู้หญิงซังไม่ค่อยได้พูดคุยกัน แต่ก็ยังได้ยินแม่เขาพูดถึงว่าเธอเป็นคนแข็งกระด้าง เลยทำให้คุณซังโกรธจนไปหาผู้หญิงคนอื่น
หลังจากได้รู้จักกันแล้ว หลินหย่วนก็เปลี่ยนความคิดทันที
คนตรงหน้าเขาไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
เมื่อสักครู่นี้จำเป็นต้องแรง
ดวงตาของเฉินเฉียวมืดมนเธอรู้ว่าแม่ของเธอและหลินหย่วนต้องการทำให้เธอลืมเรื่องเมื่อกี้ เธอยิ้มมุมปากและพูดคุยกับพวกเขา
เมื่อเทียบกันแล้วเฉินเฉียวและคุณผู้หญิงซังเข้ากันได้ค่อนข้างดี เมื่อลู่ลี่ลี่ออกจากโรงน้ำชาและเรียกรถกลับบ้าน เดินเข้าบ้านไปโดยไม่พูดอะไร เห็นเฉินอันกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์์อยู่บนโซฟาสีขาวพอดี ลู่ลี่ลี่อดไม่ได้ที่จะแขวะ “ดูสิ เอาแต่อ่านหนังสือพิมพ์บ้าๆ มีเวลาว่างมากนักก็เอาเวลาไปหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวจะดีกว่านะ”
คู่สามีภรรยาที่กำลังอับจน
หลังจากได้พบกับเฉียวอวี้หมิ่นโดยบังเอิญและพบว่าเธอมีชีวิตที่ดีกว่าที่คิดไว้หลายเท่าเธอรู้สึกเสียใจที่เห็นเธอเป็นคู่แข่งในชีวิตของเธอ
ผู้หญิงที่ถูกกลอุบายของเธอเล่นงาน ตอนนี้มีชีวิตที่ดีกว่าเธอ แต่เธอต้องอยู่กับเฉินอันมีชีวิตที่ยากลำบาก
ในใจอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ และความอัดอั้นที่ควบคุมไม่ได้ทั้งหมดในใจก็ถูกระบายออกมา
ทันใดนั้นเฉินอันก็ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์กับภรรยาที่แต่ก่อนมีความอ่อนโยนซึ่งตอนนี้กลายเป็นคนขี้โวยวายไปแล้ว
แม้ว่าเขาจะรู้อยู่ในใจว่าหลังจากที่เขาสูญเสียตำแหน่งและสถานะทุกคนรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไป
แต่เขารับไม่ได้กับความเปลี่ยนแปลงของคนใกล้ชิดนี้ เขาตะโกนขึ้น: “คุณเป็นบ้าอะไร ถ้ามีอารมณ์จะมาแหกปากโวยวายก็เอาเวลาไปดูเสี่ยวเฟิงทำการบ้านไป
ทันทีที่เธอพูดถึงลูกชายของเธอ ลู่ลี่ลี่ก็รู้สึกกังวลทันที: “ลูกเป็นอะไร เขาทำการบ้านอยู่ดีๆไม่ใช่หรอ?”
เฉินอันตะคอกและพูดว่า: “ดีบ้าอะไร วันนี้มีโทรศัพท์จะโรงเรียนโทรมา ลูกเราจ่ายเงินจ้างคนอื่นให้ทำการบ้าน ตอนสอบเขียนอะไรไม่ได้เลย ฉันจะบอกคุณให้นะ สอบครั้งนี้เขาทำได้ไม่ถึง40คะแนน วันหลังถ้าเขาอยู่บ้านคุณต้องเฝ้าเขาทำการบ้าน ”
ลู่ลี่ลี่รู้สึกโกรธมากขึ้นเมื่อเธอได้ยิน: “ทำไมต้องเป็นฉัน คุณเฝ้าลูกไม่ได้เหรอไง คิดว่าทุกวันนี้ชีวิตฉันง่ายมากหรอไง ?” คุณรู้ไหมว่าพวกเพื่อนๆเก่าพูดกับฉันว่ายังไงบ้าง? พวกเธอบอกฉันว่าให้รีบออกไปจากสวะอย่างคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ชีวิตฉันคงดีไปนานแล้ว ”
“ สวะเหรอ”อารมณ์ของเฉินอันที่อดกลั้นไว้ในวันนี้ข่มไม่อยู่ เขาขยำหนังสือพิมพ์ในมือและโยนมันลงบนพื้นด้วยความโกรธ
จากนั้นชี้นิ้วไปที่ลู่ลี่ลี่และด่า: “ผมเป็นสวะ งั้นคุณก็ไม่ได้ดีไปกว่าผม ผมเคยบอกแล้วว่าอย่าไปคบกับพวกนั้นคุณก็ไม่ฟัง อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องเมื่อสมัยก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณอ่อยผม ตอนนี้ชีวิตผมคงดีกว่านี้มาก บริษัทผมล้มละลาย ไม่ใช่เพราะลูกสาวตัวดีของคุณหรือไง
เมื่อมีอารมณ์ คำพูดก็มักจะพูดคำที่ทำร้ายจิตใจ
และเมื่อเธอได้ยินการดูถูกเหยียดหยามของเฉินอันและลูกสาวของเธอ เธอก็ตอกกลับว่า “แกมันไอสวะ แต่ก่อนฉันคิดว่าแกไม่รู้เรื่องอะไร ตอนนี้รู้แล้วว่าแกแกล้งทำเป็นโง่ แกมันน่ารังเกียจจริงๆเลย แบบนี้คงอยู่ด้วยกันต่อไปไม่ได้จริงๆแล้ว”
“ ดี อยู่ไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่”