ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง – บทที่ 263 จักรพรรดิหนิงและหยุนชางสนทนากันอีกครั้ง

บทที่ 263 จักรพรรดิหนิงและหยุนชางสนทนากันอีกครั้ง

หยุนชางยิ้มเล็กน้อย โดยไม่ปฏิเสธ ก้มศีรษะลงและมองไปที่แผนที่ของแคว้นเซี่ย

ตระกูลสายเลือดของจิ้งอ๋องทั้งหมดอยู่ที่แคว้นเซี่ย แม้ว่าเขาจะดูเฉยเมยอยู่ตลอด และไม่สนใจฮวากั๋วกง แต่ทว่า ถ้าหากต้องการเป็นศัตรูกับญาติของเขาจริงๆ นางก็รู้สึกทรมานใจแทนเขาเล็กน้อย

หลังจากแต่งงานกับจิ้งอ๋อง นางก็รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆกับพลังของจิ้งอ๋อง เป็นเวลายี่สิบปีแล้วที่เสด็จพ่อของนางขึ้นครองบัลลังก์ ถ้าจิ้งอ๋องมีเจตนาจะยึดบัลลังก์จริงๆ เกรงว่า ตอนนี้แคว้นหนิงคงไม่ได้มีนามสกุลหนิงอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าจิ้งอ๋องไม่ต้องการ แต่เพราะเขาไม่เต็มใจ แม้ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเลี้ยงดูสั่งสอนเขาเพียงสองสามปี เขาก็รู้สึกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนมีบุญคุณต่อเขาอย่างมาก และเขาก็ไม่อยากทำให้เสด็จพ่อต้องลำบากใจ

คนแบบนี้ แม้ว่าเขาจะมีสีหน้าที่เย็นชาแค่ไหน แต่ก็ยังมีความอบอุ่นอยู่ในใจ

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องถูกบังคับให้เป็นศัตรูกับญาติของเขา

หยุนชางยิ้มอย่างขมขื่น อันที่จริง ช่วงนี้นางฝันอยู่ตลอด ว่าจิ้งอ๋องสวมเสื้อคลุมมังกร เพียงแต่ว่า เหล่าขุนนางที่คำนับเขานั้น คือฮวากั๋วกงและเซี่ยโหจิ้งที่นางเคยเห็น

ตั้งแต่ความฝันนี้ปรากฏขึ้น นางคิดเสมอว่า ถ้าวันหนึ่ง จิ้งอ๋องกลับไปที่แคว้นเซี่ย นางควรทำอย่างไรดี?

จักรพรรดิหนิงนิ่งเงียบอยู่นาน แล้วตรัสว่า “ตอนนี้ข้ามีเฉินซี โอรสเพียงองค์เดียว ซึ่งคลอดโดยซูจิ่นด้วย ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น บัลลังก์จะเป็นของเขาในไม่ช้าก็เร็ว แต่ข้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงจุดจบ ถ้าเจิ้นตาย เจ้ากับจิ้งอ๋องจะคอยช่วยเหลือเฉินซีอย่างเต็มที่ไหม”

มือของหยุนชางชะงักเล็กน้อย และมันก็เป็นเพียงครู่เดียวเท่านั้น ผ่านไปนานพอสมควร นางจึงพูดว่า “เสด็จพ่อทรงทราบหรือไม่ว่า ฮองเฮาได้ทรงเข้าควบคุมวังหลัง นางขอให้เสนาบดีหลี่เปลี่ยนองครักษ์ทั้งหมดในวัง เสนาบดีหลี่ยังได้ให้นางรวบรวมเหล่านางสนมทั้งหมดในตำหนักจินหลวน เพื่อจะข่มขู่เสด็จพ่อ”

จักรพรรดิหนิงไม่รู้ว่าทำไมนางถึงพูดเรื่องนี้ ขึ้นมา แต่ก็พยักหน้า “เจิ้นทราบแล้ว เจ้าแก้ปัญหาได้แล้ว”

หยุนชางได้ยินคำพูดนั้น ขดมุมปากของนางและยิ้มเบาๆ “คนเขาพูดว่า ลูกสาวที่แต่งงานแล้ว ก็เป็นดั่งเช่นน้ำน้ำที่ถูกสาดออกไป แต่ว่าฮองเฮาแต่งงานกับเสด็จพ่อมากว่ายี่สิบปีแล้วใช่ไหมเพคะ นางยังคงถือว่าตัวเองเป็นลูกสาวของตระกูลหลี่ แต่ไม่เคยถือว่าตัวเองเป็นสะใภ้ของราชวงศ์ จะเห็นได้ว่าคำพูดนั้นผิดมหันต์ ไม่ว่ายังไง หม่อมฉันก็ยังเป็นลูกสาวของเสด็จแม่และเสด็จพ่อ และพี่สาวสายเลือดเดียวกันเฉินซี”

หลังจากหยุดชั่วครู่ หยุนชางกล่าวอีกครั้งว่า “หม่อมฉันรู้ว่ามีแม่ทัพหลายคนภายใต้คำสั่งของเสด็จพ่อที่สามารถออกศึกได้ หม่อมฉันไม่รู้ว่าทำไมเสด็จพ่อไม่เคยใช้พวกเขา แต่หม่อมฉันกลับรู้ว่า ตอนนี้จิ้งอ๋องได้กลายเป็นเทพสงครามไปเสียแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเสด็จพ่อ หากวันหนึ่ง จิ้งอ๋องไม่สามารถออกรบได้ เกรงว่าคนที่ล้มลงเป็นคนแรกจะเป็นหัวใจของราษฎร”

จักรพรรดิหนิงมองลึกๆ ไปที่ธิดาของตนผู้นี้ ที่ตนไม่ได้เฝ้าดูนางเติบโตตั้งแต่เด็ก มีเพียงรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจนางมากขึ้น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ทรงตรัสว่า “เจิ้นรู้แล้ว”

หยุนชางยิ้มและพึมพำราวกับกำลังพูดกับตัวเอง “เสด็จพ่อ… ตอนนี้คนที่สำคัญที่สุดในโลกนี้ของชางเอ๋อร์คือเสด็จแม่ ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะเติบโตโดยข้างกายท่านไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จแม่กับลูกก็ไม่ด้อยไปกว่าคู่แม่ลูกคู่ใด ตรงกันข้าม เพราะไม่ได้ตามที่หวัง ลูกก็หวงแหนมันมากขึ้นเมื่อได้มันมา เสด็จแม่เป็นหญิงที่ดี ลูกหวังว่าท่านจะมีชีวิตที่ดีมีสุข หวังว่าเสด็จพ่อจะไม่หักหลังท่าน”

จักรพรรดิหนิงรู้ดีว่าคำพูดของหยุนชาง หมายถึงอะไร หลังจากมาที่พระราชวังเฟิ่งไหล เขาพบว่ารอบตัวพระสนมจิ่นมีองครักษ์ลับมากขึ้น และเขาได้ให้คนไปตรวจสอบแล้ว และคนเหล่านั้นเป็นคนของธิดาของเขาเอง ขณะนั้น เขาตกใจมาก นางกลับวังตั้งหลายปีแล้ว และไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าลูกสาวของตนมีอำนาจที่ลึกลับขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงมีช่องว่างในใจเล็กน้อยต่อนาง และเขายิ่งกังวลมากขึ้นไปอีกคือนางได้มอบกองกำลังทั้งหมดเหล่านี้ให้กับจิ้งอ๋อง

สิ่งที่นางพูดเมื่อกี้เป็นเหมือนคำสัญญา สัญญาว่าตราบใดที่สนมจิ่นมีชีวิตที่มีความสุข อย่างน้อยนางก็จะไม่มีวันกลายเป็นศัตรูของตน

“แน่นอน” จักรพรรดิหนิงหันศีรษะและมองออกไปนอกหน้าต่าง

หยุนชางหันมองไปและเห็นเสด็จแม่ดูเหมือนกำลังเดินมายังห้องทรงอักษร หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู หยุนชางเดินไปเปิดประตู และได้เห็นพระสนมจิ่นยืนอยู่ที่ประตู “พวกเจ้าสองพ่อลูกกำลังคุยอะไรกัน ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว”

หยุนฉางยิ้ม “ชางเอ๋อร์ไม่ได้เจอเสด็จพ่อมานานแล้ว ดังนั้นจึงมาพูดสนทนากับเสด็จพ่อ”

จักรพรรดิหนิงเดินไปที่ประตู ยิ้มและตบศีรษะหยุนชาง “เจ้าได้ออกเรือนแล้ว ยังมาออดอ้อนเช่นนี้ได้อย่างไร ดูไม่สมเป็นพระชายาเลย”

ทั้งสามคนพูดแล้วหัวเราะ ไปที่ห้องโถงใหญ่ และเสวยอาหาร

หยุนชางถือโอกาสที่จักรพรรดิหนิงไปที่ห้องโถงด้านในเพื่อดูเฉินซี และเดินออกไปนอกห้องโถง ก็เห็นว่าองครักษ์ลับได้ยืนรออยู่แล้ว “ท่านอ๋องถูกซุ่มโจมตีหลังป่าที่เราได้พบกับพวกเสนาบดีหลี่ ต่อสู้กันสักพัก ข้าน้อยเห็นว่าท่านอ๋องมิได้เสียเปรียบอะไร จึงรีบกลับมารายงานพระชายา หากไม่มีเหตุการณ์อื่นใด ท่านอ๋องน่าจะมาถึงที่นี่อีกประมาณสี่ชั่วโมงให้หลัง นายหญิง ข้าน้อยเห็น จิ่งเหวินซี คุณหนูจิ่ง ดูเหมือนจะออกจากเมือง ตอนที่ข้าน้อยกลับมา ได้เห็นนางใกล้ถึงจุดที่ท่านอ๋องและท่านเสนาบดีหลีปะทะกันขอรับ”

“เฮ่อ……” นัยน์ตาของหยุนชางประกายยากที่จะแยกแยะอารมณ์ “นางช่างเป็นคนโง่เสียจริง”

“ให้ข้าน้อยไปหยุดนางไหมขอรับ” องครักษ์ลับถามด้วยเสียงต่ำ

หยุนชางโบกมือ “ช่างเถอะ หยุดทำไม ข้าหวังว่านางจะวิ่งแทรกแผ่นดินหนี และถูกธนูยิงตาย”

หยุนชางโบกมือให้องครักษ์ถอย และเดินเข้าไปในห้องโถงด้านในอีกครั้ง จักรพรรดิหนิงกำลังป้อนเฉินซีดื่มยา ดูแล้วจะถนัดมาก หยุนชางเงยหน้าและพูดกับเจิ้งมามา “เมื่อไรผื่นบนตัวของเฉินซีจะเริ่มตกสะเก็ด”

เจิ้งมามาตอบ “ประมาณวันรุ่งขึ้น เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น จะต้องใช้ผ้าที่นุ่มๆมาผูกมัดมือขององค์ชายน้อย เพื่อไม่ให้เวลาที่คันแล้วเกาขีดข่วน หากเกาจนเกิดแผล มันจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในอนาคต”

หยุนชางพยักหน้า “เจิ้งมามา มาคุยกับข้าที ยาตัวใดที่รักษาโรคอีสุกอีใสต้องหลีกเลี่ยงบ้าง ข้าจะทำยาทาให้กับเฉินซี เพื่อทาบรรเทาอาการคันได้”

“เพคะ” เจิ้งมามาตอบและเดินออกจากห้องโถงด้านในพร้อมกับหยุนชาง

ในห้องโถง ดวงตาของจักรพรรดิหนิงกะพริบเล็กน้อย วางชามเปล่า แล้ววางเฉินซีไว้บนเตียง เงยหน้าขึ้นมองพระสนมจิ่น “ชางเอ๋อร์มีทักษะทางการแพทย์ตั้งแต่เมื่อใด ทำไมเจิ้นถึงไม่รู้เลย”

พระสนมจิ่นก้มหน้าลงไปช่วยเฉินซีห่อผ้าห่ม และพูดด้วยเสียงเบา “เหตุเพราะป่วยนานจนเป็นมั้งเพคะ ชางเอ๋อร์สุขภาพไม่ดีมาตลอด ตอนที่พักรักษาตัวที่วิหารแคว้นหนิง เจ้าอาวาสอู๋น่าได้ให้พระภิกษุสงฆ์ที่เก่งการรักษาคนมารักษาชางเอ๋อร์ เกรงว่าคงจะเรียนรู้จากพระรูปนั้น”

จักรพรรดิหนิงไม่พูดอะไรอีก แต่แอบสงสัยในใจเล็กน้อย เขาส่งคนไปตรวจสอบมา ระหว่างที่หยุนชางพักฟื้นในวิหารแคว้นหนิง นางได้แต่คัดลอกคัมภีร์ในวิหาร ไม่ค่อยได้ออกไปไหน และไม่เคยได้ยินด้วยว่า จะเข้าหาพระรูปนั้นเท่าไหร่นัก แต่ว่า เป็นเพราะเหตุใด หลังจากที่หยุนชางกลับมาจากวิหารแคว้นหนิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังที่ผ่านมา ดูเหมือนว่านางได้เปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง มีทักษาการแพทย์ มีอำนาจของตัวเอง และยังมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับการออกศึกอีกด้วย

คนๆนี้ ยังใช่ธิดาของเขาอยู่หรือไม่?

จักรพรรดิหนิงเหลือบมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆเขา แต่ท้ายที่สุด เขาไม่ได้ถามอะไรเลย

จิ้งอ๋องมาถึงพระราชวังในช่วงเช้าพระอาทิตย์ขึ้น หยุนชางได้ยินเสียงอึกทึกข้างนอกดังนั้นนางจึงลุกขึ้น จักรพรรดิหนิงและพระสนมจิ่นรออยู่ที่ห้องโถงแล้ว หยุนชางเดินไปที่เก้าอี้ด้านข้างและนั่งลง แต่รอไปสักพัก ก็ไม่เห็นจิ้งอ๋องมา

หยุนชางขมวดคิ้วและจักรพรรดิหนิงขึ้นเสียงให้องครักษ์ไปดู จากนั้นก็ได้ยินเสียงมาจากข้างนอก “ท่านอ๋องขอเชิญหมอ แต่หมออยู่ในลานด้านข้างสั่งยาสำหรับองค์ชายน้อยอยู่ หม่อมฉันมาขอคำแนะนำจากฝ่าบาท”

เมื่อได้ยินเยี่ยงนี้ จักรพรรดิหนิงและหยุนชางทั้งสองยืนพร้อมกัน “เกิดอะไรขึ้น จิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บหรือ”

เสียงด้านนอกดังขึ้นทันที “ทูลฝ่าบาท ไม่ใช่ท่านอ๋องที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นคุณหนูจิ่ง สถานการณ์โดยรวมหม่อมฉันไม่ชัดเจนมากนัก เห็นเพียงท่านอ๋องอุ้มนางเข้ามาในวัง ดูเหมือนว่านางจะช่วยท่านอ๋องรับลูกธนู และยังหมดสติอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง

Status: Ongoing

ในภพก่อน นางเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ มีเสด็จพ่อที่ทรงโปรด “เสด็จแม่” ทรงตามพระทัย พี่หญิงที่คอยปกป้อง พระสวามีคอยดูแล จนนางมีนิสัยที่หยิ่งผยอง จนกระทั่ง นางได้เห็นด้วยตาตัวเอง ว่าพี่หญิงผู้ที่ตนเคารพนับถือที่สุด และพระสวามีที่รักของตนได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน ลูกชายที่ป่วยหนักถูกพระสวามีลงมือฆ่าด้วยตัวเอง นางจึงตระหนักว่าเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นกลยุทธ์ที่วางแผนไว้อย่างรอบคอบโดย “เสด็จแม่” การทรยศ เหล้าที่อาบยาพิษ นางสูญเสียทุกสิ่ง…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท