“ตอนนั้นท่านก็อยู่ด้วยหรือ? ทำไมหม่อมฉันถึงจำไม่ได้เลย?” หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อยดูท่าทางปวดหัว
จิ้งอ๋องหัวเราะเบาๆ แล้วจึงเบ้ปาก “ความมีตัวตนของข้าเล็กน้อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เฮ้อ ข้าคอยจดจำเจ้ามาเจ็ดปี แต่เจ้ากลับลืมไปหมดเสียแล้ว” พูดแล้วเขาก็คว้าเอวของหยุนชางมาโอบแล้วเดินเข้าไปในตำหนักข้าง “ข้าไม่รังเกียจที่จะช่วยให้เจ้าจำขึ้นมาได้…”
หยุนชางหน้าแดงก่ำ นางดิ้นเล็กน้อย แต่กลับถูกจิ้งอ๋องโอบไว้อย่างแข็งแกร่ง นางจึงได้เพียงแต่ยอมให้เขาลากไป
จิ่งเหวินซียังคงคุกเข่าอยู่ที่ประตู เพียงแต่ร่างกายของนางเริ่มสั่นเล็กน้อย มือของนางกำแน่นอย่างเงียบๆ เดิมทีตอนแรกนางกำนัลที่อยู่รอบด้านมองดูนางด้วยความสงสารเล็กน้อย แต่ตอนนี้สายตาพวกนางกลับแฝงไปด้วยแววสำรวจ
มีเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ดังแว่วมาจากด้านหลัง จิ่งเหวินซีขบกรามแน่นและทำเป็นไม่ได้ยิน แต่นางไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะไม่น่าฟังเพียงใด
“เมื่อครู่ข้ายังคิดว่านางและท่านอ๋องมีใจต่อกันเสียอีกจึงได้ช่วยท่านอ๋อง ข้ายังคิดไปว่าจะต้องเป็นองค์หญิงหยุนชางแน่ที่ไม่ยอมรับนางเข้าจวนและแอบรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนนาง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องจะปฏิบัติต่อนางอย่างไร้เยื่อใย ที่แท้นางจงใจวิ่งออกไปรับลูกธนูนั่นเองเพื่อฉวยโอกาสเข้าหาท่านอ๋อง หญิงที่ทำเรื่องต่ำทรามเช่นนี้ ช่าง…”
“ใช่แล้ว ดูจากที่เมื่อครู่ความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องและพระชายาดีถึงเพียงนั้น ท่านอ๋องตามใจพระชายายิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นท่านอ๋องอ่อนโยนกับใครเลย คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องก็ยิ้มเป็นด้วย”
“ได้ยินมาว่าจิ่งเหวินซีผู้นี้เป็นถึงคุณหนูตระกูลดัง น่าตลกยิ่งนัก ไม่รู้ว่าที่บ้านของนางสั่งสอนกันอย่างไร จึงได้ไม่มีความละอายเลยสักนิด”
“เอ๊ะ เจ้าไม่รู้หรือ? เดิมนางก็เป็นลูกสาวของอนุชั้นต่ำ เพียงแต่ใต้เท้าจิ่งโปรดปรานนางเท่านั้น นางลูกอนุนี่ไร้การศึกษาจริงๆ”
จิ่งเหวินซียืดหลังตรง กัดริมฝีปาก ประกายเกลียดชังฉายชัดในดวงตา หึๆ ชั้นต่ำงั้นหรือ? ใช่ นางต่ำทรามแล้วอย่างไร? นางเป็นลูกอนุแล้วหนิงหยุนชางไม่ใช่หรืออย่างไร? เพียงแต่มีฐานะองค์หญิงมาเพิ่มก็เท่านั้น จะสูงส่งขนาดไหนกันเชียว? เพียงเพราะเป็นองค์หญิงจึงได้รับความรักจากจิ้งอ๋องเช่นนี้หรือ? นางจิ่งเหวินซีคนนี้ไม่ยอมหรอก!
จิ่งเหวินซีเงยหน้าขึ้นและมองไปทางตำหนักข้าง แววตาแฝงรอยยิ้มเย็น รักกันงั้นหรือ? แล้วอย่างไร? ชนะใจเหล่านางกำนัลพวกนี้ได้แล้วอย่างไร? คิดว่าเช่นนี้แล้วก็จะสามารถปิดปากของทุกคนได้เช่นนั้นหรือ? นางจะทำให้หนิงหยุนชางกลายเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการและขี้หึงท่ามกลางขี้ปากของผู้คน ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่ทุกคนในโลกบอกว่านางเป็นหญิงเลวแล้วนางจะวางตัวอย่างไรได้อีก…
ความคับแค้นใจที่นางได้รับในวันนี้ นางจะหวนคืนให้หนิงหยุนชางเป็นสิบเท่าพันเท่า
ฝูงชนค่อยๆ แยกย้ายกันไป จิ่งเหวินซีลุกขึ้น ร่างกายของนางโงนเงนอย่างแรงแล้วจึงค่อยยืนได้มั่นคง นางค่อยเดินจากไปทีละก้าวทีละก้าว
จิ่งเหวินซีคิดไม่ถึงว่าภาพนี้จะตกอยู่ในสายตาของคนที่อยู่ในตำหนักใหญ่ จิ่นเฟยขมวดคิ้ว “แม่นางจิ่งคนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นคนดีนัก ข้าดูท่าทางนางแล้วราวกับยังไม่ได้จะยอมแพ้ ชางเอ๋อร์…”
จักรพรรดิหนิงยิ้มบางๆ เขาไม่ได้กังวลเรื่องลูกสาวเลยสักนิด แต่เขาก็ไม่ชอบแผนการของจิ่งเหวินซี “ไม่ได้ให้คนไปสืบแล้วหรือ หากจิ่งเหวินซีเป็นภัยต่อเฉินซีของพวกเรา เมื่อถึงตอนนั้นเจิ้นจะใช้ข้อหาทำร้ายราชนิกุลประหารนางเสีย…”
จิ่นเฟยขมวดคิ้วและไม่ได้พูดอะไร เพียงหมุนตัวกลับเข้าตำหนักไป
แต่ผู้ที่ถูกพูดถึงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้มองไปยังชายสีหน้าราบเรียบที่นั่งอยู่ตรงข้ามนาง “ท่านเคยพบข้าตอนอายุแปดขวบแน่หรือ?”
จิ้งอ๋องเลิกคิ้วขึ้น “ตั้งแต่เจ้าเกิดมา ข้าก็เคยได้พบเจ้าหลายหนแล้ว มีอะไรแปลกตรงไหนกัน”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มจนตาหยี “เสด็จอาจำได้ชัดเจนทุกครั้งที่เราพบกัน หากเป็นไปตามที่เสด็จอาว่ามาแล้ว หรือว่าตอนที่ชางเอ๋อร์อายุแปดขวบ เสด็จอาก็ชอบชางเอ๋อร์แล้ว เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว รสนิยมของเสด็จอาช่าง…”
“หา? ข้าเพียงพูดอย่างขอไปทีกับจิ่งเหวินซีเท่านั้น เจ้าเชื่อด้วยหรือ?” จิ้งอ๋องขี้เกียจแม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมอง
หยุนชางไม่พูดอะไรอีก เพียงรู้สึกว่าหัวคิ้วของนางกระตุกอย่างแรง ราวกับมีเรื่องกำลังจะเกิดขึ้น หยุนชางคิดใคร่ครวญครู่หนึ่ง ไม่ว่าจิ่งเหวินซีจะยอมถอดใจหรือไม่ ถูกคนเห็นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี จะได้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก ตอนนี้คนในวังนี้ ไม่ว่าจิ่งเหวินซีคิดจะแตะต้องใครก็ตาม นางล้วนไม่อนุญาตทั้งสิ้น
เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วนางจึงสั่งคนให้ไปทำตามนั้น
เพียงแต่หยุนชางคิดไม่ถึงว่าเพียงเมื่อถึงพลบค่ำ จิ่งเหวินซีก็เริ่มเคลื่อนไหว “นายหญิง จิ่งเหวินซีออกจากวังไปแล้ว ข้าน้อยเห็นว่ายามนางเดินดูสบายๆ ราวกับนางไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าน้อยได้ให้คนติดตามนางไปแล้วเจ้าค่ะ”
หยุนชางพยักหน้า เงยหน้าขึ้นมองสายลับผู้นั้น “ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าน่าจะชื่อเฉี่ยนหัวใช่ไหม?”
สายลับคนนั้นพยักหน้า มีความกระตือรือร้นเล็กน้อยในดวงตาของนาง
หยุนชางยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย “เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ให้เจ้าไปสืบมาว่าจิ่งเหวินซีติดต่อกับใครบ้างในระยะนี้ สืบได้อย่าไงรบ้างแล้ว?”
สายลับส่ายหัว “ผ่านมาหลายวันแล้วจึงมีเบาะแสน้อยมาก ข้าน้อยรู้เพียงว่าแม่นางจิ่งมาที่เมืองเฟิ่งไหลพร้อมกับคุณชายจิ่งและได้เข้าวังมาในวันที่สาม”
หยุนชางนิ่งเงียบ นางย่อมเข้าใจโดยธรรมชาติว่าเรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว แม้จะให้สายลับไปสืบก็รังแต่จะทำให้พวกเขาลำบากเท่านั้น เมื่อคิดดูแล้วหากคนของฮองเฮาติดต่อจิ่งเหวินซีและทำข้อตกลงกับนางได้แล้ว ก็คงจะไม่ได้ทำตอนกลางวันแสกๆ อย่างเปิดเผย
“นำผ้าเช็ดหน้าของนางไปให้เจิ้งมามาดูแล้วใช่ไหม? เป็นอย่างไร?” หยุนชางถามขึ้นอีกครั้ง
“เจิ้งมามารับไปแล้ว แต่หลังจากดูสักพักก็ยากที่จะเห็นสิ่งใด เพียงแต่ว่าผ้าเช็ดหน้านั้นไม่ใช่ของใหม่ที่จิ่งเหวินซีซื้อตามที่นางกล่าวไว้อย่างแน่นอน ผ้าเช็ดหน้านั้นถูกใช้มานานแล้ว เจิ้งมามาคิดได้วิธีหนึ่ง นางให้ข้าน้อยเอาผ้าเช็ดหน้านั้นไปให้คุณชายจิ่ง ได้ยินมาว่าคุณชายจิ่งก็ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสเช่นกัน” สายลับตอบเสียงเบา สีหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใด
หยุนชางเอื้อมมือไปลูบรอยพับบนกระโปรง พยักหน้าแล้วถามว่า “แม่นางจิ้งมีความสัมพันธ์อันดีกับคุณชายจิ่งหรือไม่?”
สายลับรีบตอบอย่างรวดเร็วว่า “เจ้าค่ะ คุณชายจิ่งเป็นลูกฮูหยินเอก แต่เขาไม่มีความตั้งใจจะรับราชการ คุณชายจิ่งปฏิบัติต่อแม่นางจิ่งอย่างดีมาก แต่กลับไม่สนิทกับน้องสาวแท้ของตนเองนัก ได้ยินมาว่าทุกครั้งที่คุณชายจิ่งออกจากบ้านไป เขาจะนำของฝากกลับมามากมายให้แก่จิ่งเหวินซี”
“ช่างเป็นพี่ชายและน้องสาวที่รักกันดีเสียจริง” หยุนชางยิ้ม นางรู้ว่าจิ่งเหวินซีเป็นลูกอนุ แต่นางไม่รู้ว่าจิ่งเหวินซีเจอเรื่องอะไรในจวนสกุลจิ่งมาบ้าง ไม่รู้ว่าประสบการณ์แบบไหนที่ทำให้หญิงสาวกลายเป็นคนน่ากลัวเช่นนี้ เดิมทีนางคิดจะสืบหาความจริง แต่ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงไม่สงบ เกรงว่าการเดินทางกลับไปกลับมาคงจะไม่ทันการณ์
คราวนี้เจิ้งมามาจัดการได้อย่างสวยงามที่นำผ้าเช็ดหน้านั้นไปให้กับพี่ชายของจิ่งเหวินซี
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีสายลับคนหนึ่งกลับมารายงาน “นายหญิง จิ่งเหวินซีไปโรงหมอ”
หยุนชางเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้นและทำสีหน้าประหลาดใจ “ไปโรงหมอ? นางไปที่นั่นทำไม? หากจะบอกว่าไปหาหมอ หมอในวังแห่งนี้ก็ล้วนเป็นหมอชั้นยอด นางคงไม่คิดว่าข้าจะให้หมอทำร้ายนางหรอกนะ? หรือนางอยากจะไปซื้อยาพิษมาวางยาข้าให้ตาย?”
สายลับรีบตอบ “ข้าน้อยรีบฉวยโอกาสหลังจากที่จิ่งเหวินซีจากไปแล้วเข้าจับกุมคนจ่ายยาไว้ คนจ่ายยานั่นตื่นตกใจจึงได้หลุดปากบอกอะไรบางอย่างมา บอกว่านางซื้อเฮ่งยิ้ง*ไปจำนวนมาก” (เฮ่งยิ้ง/โขวเฮ่งยิ้ง คืออัลมอนด์จีน ถือเป็นยาสมุนไพรจีน คนละชนิดกับอัลมอนด์ทั่วไป)
เฮ่งยิ้งงั้นหรือ? ดวงตาหยุนชางปรากฏแววครุ่นคิด สรรพคุณของเฮ่งยิ้งคือรักษากลุ่มอาการลมหวัดตัวร้อนและหอบหืด เพียงแต่จิ่งเหวินซีได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูและไม่เกี่ยวข้องกับอาการเหล่านั้นเลยสักนิด นางคิดจะทำอะไรกันแน่?
“ไปเชิญเจิ้งมามามาที่นี่หน่อย” แม้ว่าหยุนชางได้เรียนรู้วิชาการแพทย์มาบ้า แต่ก็รู้เพียงครึ่งๆกลางๆเท่านั้น โรคธรรมดาและยาพิษบางชนิดนางก็พอใช้ได้ แต่นอกนั้นกลับไม่ได้เชี่ยวชาญนัก
เจิ้งมามาคิดว่าหยุนชางป่วยและกลัวว่านางจะเป็นอีสุกอีใสจึงรีบมา แต่กลับเห็นหยุนชางนั่งอยู่บนเก้าอี้เหมือนคนที่ปกติดี เจิ้งมามาสำรวจไปมาก็ไม่พบความผิดปกติ นางจึงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “พระชายาเรียกหม่อมฉันมามีเรื่องอะไรหรือเพคะ?”
หยุนชางพยักหน้า “เมื่อครู่สายลับมารายงานข้าว่าจิ่งเหวินซีไปที่โรงหมอและซื้อเฮ่งยิ้งกลับมา ชางเอ๋อร์ไม่เชี่ยวชาญด้านนี้จึงอยากถามมามาว่าเฮ่งยิ้งนี้นอกจากจะรักษาอาการลมหวัดตัวร้อนและหอบหืดได้แล้วยังใช้ทำอะไรได้อีกหรือไม่?”
เจิ้งมามาสีหน้าจริงจัง นางคิดอยู่ชั่วครู่และเอ่ยเบาๆ “หากองค์หญิงหมายถึงโขวเฮ่งยิ้งแล้วล่ะก็ นอกจากรักษาโรคได้แล้วมันก็ยังถูกนับว่าเป็นยาพิษชนิดหนึ่งเพคะ”
“พิษหรือ?” หยุนชางตกตะลึง นางไม่รู้ถึงขั้นนี้ “ทำไมล่ะ? ข้าเองก็กินมันอยู่บ่อยๆ นี่นา…”
เจิ้งมามาส่ายหัว “ไม่เพคะ องค์หญิง สิ่งที่ท่านกินไม่ใช่โขวเฮ่งยิ้ง แต่เป็นเพียงเฮ่งยิ้งธรรมดา ไม่มีพิษหรอกเพคะ โขวเฮ่งยิ้งเป็นยาชนิดหนึ่ง คนปกติมักไม่กิน พิษของมันอยู่ที่เปลือกและปลายเมล็ดทั้งสองข้าง ยามซื้อยาหมอก็มักจะกำชับว่าตอนต้มยาให้แกะเปลือกและเอาปลายออก โดยทั่วไปแล้วกินไปประมาณสี่สิบเม็ดก็จะเป็นพิษ หากกินมากก็อาจตายได้เพคะ”
หยุนชางไม่รู้มาก่อนเลยว่าเฮ่งยิ้งจะมีความซับซ้อนเช่นนี้ นางพยักทั้งยังรู้สึกข้องใจ หรือว่าจิ่งเหวินซีจะส่งนี้โขวเฮ่งยิ้งนี้มาให้นาง? ต้องการให้นางกินมันและตายไปในที่สุด?
หยุนชางใคร่ครวญครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็เพียงเงียบและสั่งเจิ้งมามาให้ดูแลจิ่นเฟยและจักรพรรดิหนิงให้ดี พร้อมทั้งกำชับว่าห้ามกินอะไรที่มีส่วนประกอบจากเฮ่งยิ้ง เมื่อกำชับเสร็จแล้วนางก็ให้เจิ้งมามาออกไป
นางนอนไปคืนหนึ่งและรออยู่นาน แต่จิ่งเหวินซีก็ไม่ได้มาวางยาพิษตัวเอง นางกลับได้รับข่าวมาสองเรื่อง คือแม่นางจิ่งเหวินซีถูกพบว่าเป็นลมกลางถนนใหญ่ในตอนเช้า นางหลับตาลงพร้อมความเจ็บปวดและตะโกนไม่หยุดว่า “องค์หญิงหยุนชาง หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันไม่กล้าแล้ว หม่อมฉันไม่กล้าชอบท่านอ๋องแล้ว โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วย”
ส่วนอีกข่าวคือคุณชายจิ่งเป็นอีสุกอีใส