หยุนชางยิ้มให้อย่างสุภาพ “ทุกท่านลุกขึ้นเถิด ข้าได้ยินมาว่ากองกำลังแคว้นเซี่ยส่งทหาร 4 พันนายมาบุกค่ายเรา จึงมาดูสถานการณ์ พวกท่านคิดวิธีตอบโต้ศัตรูไว้อย่างไรบ้าง?”
เหล่าทหารมองหน้ากันอีกครั้ง ไม่มีใครเอ่ยปากพูดสิ่งใด หยุนชางยังคงใจเย็น นางนั่งรอเงียบๆ ไม่นานนักก็ได้ยินชายผู้หนึ่งเดินออกมาพูด “กองกำลังแคว้นเซี่ยหยามเกียรติพวกเราอย่างหนัก ส่งทหารมาเพียง 4 พันนาย แต่กลับสังหารทหารของพวกเราไปกว่า 8 พันนาย เรื่องนี้กระทบขวัญและกำลังใจทหารของเราไม่น้อย ดังนั้นท่านแม่ทัพฉีจึงจะออกรบด้วยตนเอง โดยจะนำทัพทหารกองเอกของข้าน้อย บุกไปปะทะกับศัตรูขอรับ……”
“เหอะๆๆ……” หยุนชางได้ยินแผนการเช่นนี้ของฉีหล่างจากสายลับมาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นไปตามที่สายลับรายงานจริงๆด้วย นางอดยิ้มไม่ได้ “แม่ทัพฉี ดูเหมือนว่าหลิ่วหยินเฟิงจะคิดแผนการได้รัดกุมรอบด้าน เขาเลียนแบบวิถีดำเนินงานตามท่านได้อย่างไร้ที่ติ ท่านเชื่อหรือไม่ หากท่านนำทหารไปปะทะศัตรูในเวลานี้ เกรงว่าจะเป็นการส่งไพร่พลของเราเข้าสู่วงล้อมของหลิ่วหยินเฟิง เมื่อถึงตอนนั้น หากแม่ทัพฉีไม่อาจรอดชีวิตกลับมา ท่านลองคิดดูเถิดว่าสงครามที่แคว้นเซี่ยเป็นผู้ริเริ่มครานี้ ฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะอย่างขาดลอย?”
ฉีหล่างสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ไยใต้เท้าจึงนำความเก่งกล้าของฝ่ายตรงข้ามมาข่มขวัญฝ่ายเราเองเช่นนี้ ในเมื่อข้าน้อยได้เตรียมการเอาไว้แล้ว ย่อมหมายความว่าทุกอย่างต้องเตรียมพร้อมไว้เป็นอย่างดี ข้าน้อยต้องมีชีวิตรอดกลับมาแน่นอนขอรับ”
หยุนชางยิ้ม “เรื่องที่ข้ายกความเก่งกาจของศัตรูมาอ้างนั้น ที่งานเลี้ยงมื้ออาหารก็มีคนเคยถามว่า เหตุใดกองกำลังแคว้นเซี่ย นานขนาดนี้แล้ว กลับยังไม่บุกมาโจมตีอย่างเต็มที่ ท่านแม่ทัพฉีคงจะคิดว่า เป็นเพราะศัตรูเกรงกลัวท่าน มาวันนี้ ท่านยังคิดว่าพวกเขาเกรงกลัวท่านอยู่อีกหรือไม่? พวกเขาก็แค่รู้ว่าท่านเป็นคนหลงไหลในความเกรียงไกรของตัวเอง พวกเขาเพียงอยากจะให้ท่านลดระดับการเฝ้าระวังลง วันนั้นข้าเคยพูดไปแล้ว เหตุใดท่านยังคงยืนกรานความคิดเช่นนี้อยู่ ระดับการเฝ้าระวังของค่ายเราหละหลวมลงไปทุกที นี่เป็นโอกาสเหมาะที่กองกำลังแคว้นเซี่ยจะลงมือกับกองกำลังของพวกเรา”
สีหน้าของฉีหล่างดูแย่หนักกว่าเดิม ทว่าหยุนชางกลับยังคงพูดต่อ “ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้เป็นอย่างดีงั้นหรือ? กองกำลังแคว้นเซี่ยบุกมาโจมตียามวิกาลโดยไม่มีผู้ใดได้ทันตั้งตัว จนเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียชีวิตไพร่พลไปเป็นจำนวนมาก หากท่านเตรียมพร้อมทุกด้านไว้เป็นอย่างดีจริงๆก็คงไม่เกิดการสูญเสียเช่นนี้ขึ้นได้ ข้าคิดว่าท่านเองก็คงส่งคนเข้าไปสอดแนมเรื่องต่างๆภายในค่ายทหารแคว้นเซี่ยแล้ว เหตุใดจึงมิสามารถเตรียมการป้องกันเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาได้ ท่านมั่นใจว่า ท่านจะมีชีวิตรอดกลับมาอีกงั้นหรือ?”
ฉีหล่างนิ่งเงียบ แต่สายตานั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจ หยุนชางจ้องหน้าฉีหล่าง “เป็นอะไรไป ท่านไม่พอใจด้วยเหตุอันใดหรือ?”
ฉีหล่างกัดฟันไปมา “ข้าน้อยมิบังอาจขอรับ”
เมื่อหยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “มิบังอาจ มิได้แปลว่าปฏิเสธ ในเมื่อแม่ทัพฉีไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ข้าพูดไป เช่นนั้นแล้ว วันนี้ข้าจะขอเดิมพันกับท่านดู ท่านจะว่าอย่างไร?”
ฉีหล่างจ้องมองหยุนชาง “เชิญใต้เท้าพูดมาเถิดว่าจะเดิมพันอย่างไร?”
หยุนชางกวาดสายตามองทหารทุกนายที่อยู่ในที่ประชุม “ง่ายมาก ทหารสายลับในมือข้าไม่ว่าจะเป็นสมรรถภาพร่างกายหรือด้านสติปัญญาล้วนไม่ธรรมดา ข้าจะให้ทหารสายลับ 3 คนแปลงโฉมเป็นท่านแม่ทัพฉีและท่านแม่ทัพอีกสองท่าน ไปบุกค่ายแคว้นเซี่ยตามแผนการทุกขั้นตอนของแม่ทัพฉี เราจะมาดูกันว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ทหารที่ติดตามไปจะเป็นเช่นไร”
ฉีหล่างครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วพยักหน้า “ตกลง ข้าน้อยยอมรับคำท้าขอรับ”
หยุนชางพยักหน้า แล้วสั่งการให้สายลับไปเตรียมตัว ผ่านไปไม่นาน เมื่อสายลับปรากฏตัวขึ้น ก็แปลงโฉมออกมาเรียบร้อย ฉีหล่างจำแลงดูเหมือนตัวจริงทุกรายละเอียด ฉีหล่างรู้สึกทึ่งมาก แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี หยุนชางหาได้ใส่ใจไม่ นางกำชับสายลับของนาง “พวกท่านระวังตัวด้วย”
สายลับพยักหน้า แล้วมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารแคว้นเซี่ยตามลู่ทางที่ฉีหล่างวางไว้
หยุนชางนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตำแหน่งหลัก นางมองดูสายลับเดินออกไปจากกระโจม ทหารนายหนึ่งในที่ประชุมกล่าวว่า “หากสายลับถูกโจมตีกลับมา แล้วทหารที่ติดตามไปพวกนั้นคงไม่……ไม่เท่ากับว่าเราส่งพวกเขาไปตายหรอกหรือ?”
หยุนชางมองไปที่เขาแล้วยิ้ม “เมื่อครู่นี้แม่ทัพฉีได้พูดไปแล้วมิใช่หรือ? ทุกอย่างได้เตรียมความพร้อมไว้เป็นอย่างดี”
ทหารนายนั้นจึงเงียบไป แต่สายตาของเขาดูเป็นกังวลมาก หยุนชางสังเกตอาการของเขา นางคิดในใจ แม่ทัพที่ใส่ใจความเป็นความตายของไพร่พลเช่นนี้ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นแม่ทัพที่ดี
หยุนชางลุกขึ้นยืน “เรื่องบางเรื่อง ดูให้เห็นกับตาย่อมดีกว่าฟังคนอื่นพูด ไปกันเถอะ พวกเราอย่าให้คนอื่นๆในค่ายแตกตื่นล่ะ ค่อยๆไปดูสถานการณ์ทางนู้นกัน แต่รบกวนท่านแม่ทัพฉีและแม่ทัพอีกสองท่านที่สายลับได้แปลงโฉมเลียนแบบท่านไป ช่วยแต่งตัวให้แตกต่างจากเดิมด้วย”
ทุกคนเข้าใจและเห็นด้วยกับความคิดนี้ จึงน้อมรับคำสั่ง แล้วค่อยๆออกไปจากค่ายทหาร
“ใต้เท้าเป็นบุคคลสำคัญ โปรดรอที่ค่ายเถิด หากท่านเป็นอะไรไป ข้าน้อยเกรงว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตขอรับ” สายตาของฉีหล่างแสดงออกว่าไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก
หยุนชางขึ้นไปบนม้าแล้วยิ้ม “ในเมื่อมาอยู่ในสนามรบแล้ว ข้าก็ไม่อยากคอยหลบอยู่หลังพวกท่าน ตราบใดที่มีพวกท่านคอยคุ้มกันอยู่ พวกท่านโปรดวางใจ ข้าไม่มีทางเป็นอะไรไปแน่นอน”
หยุนชางฟาดแส้ แล้วสั่งม้าเบาๆ “ย่า”
แล้วม้าก็ผละตัวออกไปข้างหน้า เนื่องจากเป็นการเดินทางเงียบๆ พวกเขาจึงให้ทหารตามไปไม่ถึง 1 พันนาย หยุนชางยังคงให้สายลับที่เหลือคอยติดตามอยู่ห่างๆโดยไม่ให้ฉีหล่างรู้เห็น
ดีที่ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว บวกกับเมืองคังหยางห้อมล้อมไปด้วยป่าเขา การแอบตามเสด็จโดยไม่ให้ผู้ใดเห็นจึงเป็นเรื่องง่าย ฉีหล่างจำแลงนำทัพทหารเดินทางไปตามเส้นทางที่ทหารแคว้นเซี่ยเคยใช้เดินทางมาโจมตีทหารแคว้นหนิง เดินทางห่างจากค่ายทหารมาได้ประมาณ 20 ลี้ ก็ยังไม่พบทหารของแคว้นเซี่ย และไม่ถูกลอบทำร้ายแต่อย่างใด
ฉีหล่างแสยะยิ้ม เขารู้สึกย่ามใจ หยุนชางเองหาได้แสดงความวิตกแต่อย่างใดไม่ นางเอ่ยถามว่า “เมื่อทหารกองเอกของเราเริ่มออกเดินทาง ทหารฝั่งแคว้นเซี่ยได้เดินทางกลับไปนานเท่าใดแล้ว?”
มีคนตอบ “ราวๆ 1 ชั่วยามได้ขอรับ”
หยุนชางพยักหน้า “ทหารแคว้นเซี่ยเชี่ยวชาญการเดินป่า เวลา 1 ชั่วยาม ก็สามารถเดินทางไปได้กว่า 10 ลี้ แต่เมื่อครู่นี้ข้าได้พบมูลม้าของทหารแคว้นเซี่ย พวกเขาคงจะเดินพ้นจากจุดนี้ไปได้ไม่นาน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ? หากผู้ที่เดินทางไปโจมตีศัตรูคือท่านแม่ทัพ เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ท่านจะทำอย่างไร?”
ฉีหล่างยิ้มอย่างมั่นใจ “คงเป็นเพราะกองกำลังแคว้นเซี่ยมีทหารที่บาดเจ็บร่วมเดินทางด้วย อีกอย่าง พวกเขาก็เหนื่อยล้าจากการบุกมาปะทะค่ายทหารของเรา จึงเดินทางช้าเป็นธรรมดา หากต้องการบุกไปโจมตีพวกเขา ก็เพียงแค่ต้องเร่งฝีเท้าในการเดินทางเท่านั้นขอรับ”
หยุนชางมองไปที่ฉีหล่างอย่างมีเลศนัย “หลิ่วหยินเฟิงวางแผนล่อลวงศัตรูได้ไม่เลวเลย”
ฉีหล่างได้ยินดังนั้น ก็รู้ทันทีว่านางกำลังตำหนิตน เขามีท่าทางขุ่นเคือง พลันก็ได้ยินเสียงหยุนชางพูดขึ้นมาด้วยความไม่แน่ใจ “หากข้าจำไม่ผิด ด้านหน้านั่น คงจะเป็นร่องเขาสินะ”
ทุกคนรู้สึกอัศจรรย์ใจ ด้านหน้านั้นมีร่องเขาอยู่จริง แต่เป็นร่องเขาที่ไม่ลึกมาก และไม่ยาวเท่าใดนัก ในแผนที่ก็มิได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน หากไม่สังเกตดีๆก็จะหาได้ยากมาก ไม่นึกเลยว่า นางจะรู้เรื่องนี้ด้วย
“ร่องเขานั้นค่อนข้างสั้นและไม่ลึกมาก หากใช้เป็นที่ซ่อนกองกำลังหลักแสน เห็นทีจะยาก แต่หากว่าเพียงหลักพัน นั่นถือได้ว่าเป็นจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุด อีกอย่าง ด้านบนร่องเขาตรงนี้มีป่าทึบขึ้นอยู่ จะใช้หลบซ่อนผู้คนก็สะดวกไม่น้อย หากข้าเป็นหลิ่วหยินเฟิง ข้าจะเลือกที่นี่เป็นสถานที่ซุ่มโจมตี ขอเพียงหลบซ่อนอำพรางตัวในร่องเขานี้ให้มิดชิด รอจังหวะที่ศัตรูบุกมาปะทะ ทหารที่เฝ้าเวรอยู่ตามแต่ละจุดที่เป็นทางเข้าร่องเขาก็จะจู่โจมขึ้นมา……” หยุนชางวิเคราะห์ พลันได้สังเกตท่าทางที่หวาดหวั่นของแม่ทัพที่ตามมา สีหน้าของทหารเหล่านี้เริ่มมีความกังวลเกิดขึ้น
ฉีหล่างขมวดคิ้ว เขาอยู่ในเมืองคังหยางมานานหลายปี เขารู้จักร่องเขานั้น แต่สิ่งที่หยุนชางพูดมา ร่องเขานั้นทั้งสั้น ทั้งตื้น ทหารกลุ่มใหญ่ส่วนมากเคยเคลื่อนทัพผ่านสถานที่ที่คดเคี้ยวกว่านี้ แค่ร่องเขาเล็กๆ เขาจึงไม่เคยใส่ใจมาก่อน แต่เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์จากหยุนชางแล้ว ร่องเขาตรงนี้ มันคือสถานที่ที่วิเศษมากเลยทีเดียว
ทหารกองเอกที่อยู่ด้านหน้าค่อยๆเดินทางเข้าสู่ร่องเขา หยุนชางหยิบปี่อันเล็กขึ้นมาเป่า แต่กลับไม่ได้ยินเสียงสะท้อนใดๆเกิดขึ้น
“ปี่นั่นเป่าไม่ดังนี่นา……” มีคนพูดขึ้น
หยุนชางยิ้มพลางเก็บปี่ลงไปใต้แขนเสื้อ “นี่เป็นของที่เอาไว้ใช้ติดต่อกับทหารสายลับ นอกจากทหารสายลับแล้ว คนอื่นๆไม่อาจได้ยินได้ ข้าส่งสัญญาณเตือนให้แม่ทัพจำแลงทั้งสาม ขอให้พวกเขาระวังตัว”
หยุนชางนำฉีหล่างและทหารคนอื่นๆเดินทางเข้าสู่ร่องเขา เมื่อถึงเนินเขาแรกก่อนจะลงไปที่ร่องเขานั้น ก็ได้มองหาทำเลที่ซ่อนตัว เมื่อพรางตัวกันเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นเงาคนเคลื่อนไหวไปมาบริเวณป่าทึบ
แม่ทัพที่อยู่ด้านหลังจ้องมองไปที่เงาคนพวกนั้นด้วยสายตาอาฆาต
“ฆ่ามัน!……” ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงบัญชาการลั่นออกมาจากในป่าทึบ ถัดออกไปไกลกว่านั้น แถวๆบริเวณเนินเขาอีกฝั่งหนึ่ง ก็มีเสียงบัญชาการเช่นนี้ดังแว่วมาเช่นกัน……