สายตาของจิ้งอ๋องมองไปยังตำแหน่งที่หยุนชางกำลังชี้ พลันขมวดคิ้ว “วิธีนี้แม้จะเสี่ยงเกินไป แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าเราจะทำเช่นนั้นจริงๆ จะต้องคำนึงถึงชาวบ้านระแวกนั้นด้วย จะให้พวกเขามารับความเสี่ยงด้วยไม่ได้เป็นอันขาด”
หยุนชางหรี่ตายิ้ม รอยยิ้มของนางดูมีบางอย่างซ่อนอยู่ แม้ภายนอกจะดูเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสดใส ยังมิทันที่นางจะได้เอ่ยปากพูดสิ่งใด เขาก็ล่วงรู้ถึงความคิดของนางแล้ว ความคิดเช่นนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
“วิธีนี้เป็นเพียงวิธีสำรองของหม่อมฉันเพคะ ส่วนรายละเอียดคงต้องขอเวลาให้หม่อมฉันไปคิดดูให้ถี่ถ้วนก่อนแล้วจึงจะตัดสินใจเพคะ หากแม้นใช้วิธีอื่นไม่ได้ จำเป็นต้องใช้เฉพาะวิธีนี้ หม่อมฉันจะเตรียมการทุกอย่างเป็นอย่างดีเพคะ”
จิ้งอ๋องพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “ข้าไม่รู้จริงๆเลยว่าที่เจ้ามาถึงเมืองคังหยางแห่งนี้ถือเป็นเรื่องดีหรือว่าไม่ใช่ เกรงว่าความสามารถของเจ้าจะนำภัยมาสู่ตัว ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้มิได้เกรงพระทัยเจ้าและเสด็จแม่ของเจ้าเลย ดีที่มีท่านตาของเจ้าคอยอยู่ด้วย เมื่อเสด็จแม่ของเจ้าได้ขึ้นเป็นจิ่นเฟยได้ไม่นาน เขาก็ลาออกจากตำแหน่งและกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง เสด็จแม่ของเจ้าจึงไม่มีเชื้อเครือคอยสนับสนุน ซึ่งก็ส่งผลต่อการบริหารราชกิจของฮ่องเต้ แต่ว่าตอนนี้เจ้าได้อภิเษกมาอยู่กับข้าแล้ว หากว่าเจ้าแสดงฝีมือและความสามารถออกมาเด่นชัดมากเกินไป เสด็จพ่อของเจ้า……อาจจะทรงเคลือบแคลงได้ เกรงว่าพระองค์จะมองว่า ที่เจ้ามาอภิเษกกับข้า เป็นเพราะเจ้าและเสด็จแม่ต้องการดึงข้าเข้าไปเป็นพวกพ้อง โดยหวังให้ข้าเป็นผู้ผลักดันองค์ชายเล็กให้ได้ขึ้นครองราชย์”
เมื่อจิ้งอ๋องพูดจบ เขาค่อยๆสังเกตสีหน้าท่าทางของหยุนชาง เมื่อเห็นว่านางรู้สึกหนักใจ จึงพูดกับนางอย่างนุ่มนวล “ข้าอาจจะคิดมากไปเอง เจ้าอย่ากังวลไปเลยนะ”
หยุนชางกลับส่ายหน้า สีหน้าของนางหาได้เบิกบานเช่นเมื่อครู่นี้ “ท่านอ๋องอย่าคิดมากไปเลยเพคะ จริงๆแล้ว เสด็จพ่อทรงสงสัยในตัวหม่อมฉันตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปเมืองเฟิ่งไหลแล้วล่ะเพคะ” เมื่อเห็นจิ้งอ๋องมองตนด้วยความกังวลเช่นนั้นแล้ว หยุนชางจึงยิ้มและพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อทรงเป็นประมุขแห่งแคว้น พระองค์จะทรงสังเกตทุกเรื่องรอบตัวอย่างรอบคอบก็ถือเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าหม่อมฉันจะรู้สึกไม่ค่อยดี แต่หม่อมฉันก็เข้าใจพระองค์เพคะ ท่านอ๋องโปรดวางใจ หม่อมฉันจะคอยระวังตัวนะเพคะ”
ความจริงแล้ว หยุนชางก็ตั้งตัวไม่ทันเลยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจิ้งอ๋องจะพูดอะไรเช่นนั้นออกมาได้ นางเศร้า คิดว่าจิ้งอ๋องเย็นชา หากท่านอ๋องใส่ใจนางจริง คำพูดเช่นนั้นคงไม่หลุดออกมาจากปากของเขาเป็นแน่ จะว่าไป ประการแรก หากหยุนชางยังคงเป็นหยุนชางในชาติก่อน ก็คงคิดว่าจิ้งอ๋องพยายามจะตีตัวออกห่าง นางคงจะเสียอกเสียใจไม่น้อยเลย ประการที่สอง แต่ถ้าจิ้งอ๋องมีความคิดเรื่องการช่วงชิงบัลลังก์จริง ตนเองก็คงจะเป็นแรงหนุนที่สำคัญมากๆ สำหรับเขาแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี เสด็จพ่อทรงสงสัยในตัวนาง ไม่เพียงเท่านั้น ยังเริ่มไม่วางพระทัยต่อจิ่นเฟยและเฉินซีอีกด้วย เมื่อเป็นดังนี้ จิ้งอ๋องจึงมีโอกาสสูง
เมื่อคิดถึงสองประการนี้แล้ว นางค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ตกดึก หลังจากที่หยุนชางและจิ้งอ๋องเพิ่งเข้าบรรทมได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเฉี่ยนอินมาแจ้งข่าวที่หน้าฉากกั้นลม “ท่านอ๋องและพระชายาเพคะ เมื่อครู่นี้สายลับได้มารายงานว่า แม่ทัพฉีได้เขียนจดหมายให้นายทหารคนใกล้ชิด สายลับชิงจดหมายมาได้ฉบับหนึ่ง หม่อมฉันคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ จึงมารบกวนพวกท่านทั้งสองในยามวิกาลเช่นนี้ พระชายาโปรดตรวจดูจดหมายนี้เถิดเพคะ”
ก่อนหน้านี้จิ้งอ๋องก็เคยพูดว่า ในค่ายทหารแห่งนี้ ทุกๆเรื่องจะต้องผ่านความเห็นชอบจากหยุนชางผู้เป็นผู้นำสูงสุด
เมื่อหยุนชางได้ยินดังนั้น นางก็ยกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้น นางสวมชุดคลุม เดินออกมาจากหลังฉากกั้นลมแล้วรับจดหมายไปจากเฉี่ยนอิน นางเดินไปที่โต๊ะหนังสือ ระหว่างที่เดินนั้นก็ค่อยๆแกะจดหมายออกมาอ่าน
เมื่อนางมาถึงและนั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะหนังสือ นางก็ได้อ่านจดหมายจนเกือบจะจบพอดี หยุนชางยิ้มอย่างมีเลศนัย “สุนัขจนตรอกที่พยายามหาทางสู้”
พูดจบก็หันมามองเฉี่ยนอิน “ไปนำชุดของข้ามา แล้วบอกให้สายลับ 100 คนเตรียมตัวให้พร้อม”
เฉี่ยนอินรับคำ นางออกจากกระโจมไปทำตามที่หยุนชางสั่ง นางนำฉลองพระองค์สีขาวนวลออกมาจากหีบ แล้วถือมาให้หยุนชาง หยุนชางขมวดคิ้ว นางยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คืนนี้คงจะมีเรื่องที่ต้องสะสางมากมาย ถ้าข้าใส่กระโปรงยาวเกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะ จงไปนำชุดที่ทะมัดทะแมงกว่านี้มาให้ข้าที”
เฉี่ยนอินเข้าใจความหมายของหยุนชาง นางรีบกลับมาหยิบชุดตามที่หยุนชางบอก และช่วยหยุนชางสวมใส่ เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ได้ยินเสียงสายลับมารายงาน “พระชายา เหล่าสายลับมากันพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางพยักหน้า “ชั่วยามที่ 3 เราจะลงมือ”
คนตรงหน้าขานรับ หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงของผู้ใดอีก มีแต่เสียงจิ้งอ๋องเอ่ยขึ้นมาจากหลังฉากกั้นลม น้ำเสียงของเขาฟังดูเหนื่อยล้า ” ยังอีกนานกว่าจะถึงชั่วยามที่ 3 เจ้ามานอนพักก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวข้าจะปลุกเจ้าเอง”
เฉี่ยนอินที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆหยุนชาง เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้วก็มองหยุนชางด้วยสีหน้ากระเซ้าเย้าแหย่ ไม่อาจหุบยิ้มได้ “นั่นน่ะสิเพคะ พระชายา อีกตั้ง 1 ชั่วยามกว่าจะถึงเวลา เชิญพระชายาบรรทมต่อก่อนเถิดเพคะ”
หยุนชางถึงกับหน้าแดง นางมองค้อนเฉี่ยนอินด้วยความเขินอาย นางหาได้ขัดขืนต่อคำพูดของจิ้งอ๋อง เมื่อสั่งให้เฉี่ยนอินออกไปข้างนอกแล้วก็เดินกลับเข้ามาหลังฉากกั้นลม เหมือนเขาจะรู้สึกได้ว่านางเดินกลับมาแล้ว จิ้งอ๋องจึงลืมตาขึ้นมามองนางแล้วโปรยยิ้ม “ก็แค่เรื่องของคนไร้หัวคิด เจ้าไม่เห็นจะต้องรีบด่วนเช่นนี้เลย นอนต่อเถอะนะ เมื่อถึงเวลาแล้วข้าจะปลุกเจ้าเอง”
หยุนชางผงกหัว นางถอดเสื้อคลุมเมื่อครู่นี้ออกแล้ววางไว้ข้างๆ นางแทรกกายลงไปใต้ผ้าห่มพร้อมชุดนอน จิ้งอ๋องยิ้มกริ่มแล้วกระเถิบตัว เขายื่นแขนออกมาให้นางนอนหนุนและซุกกายภายใต้อ้อมกอด จากนั้นจึงค่อยๆหลับตาลง
หยุนชางนอนนิ่ง นางยังคงไม่ชินกับความรู้สึกใกล้ชิดเช่นนี้ นางไม่กล้ากระดุกกระดิก จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าจิ้งอ๋องหลับไปแล้ว นางจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง นางหลับตาลง ไม่นานนักก็หลับไป
รอจนหยุนชางหลับสนิทแล้ว จิ้งอ๋องค่อยๆลืมตาขึ้นมา แววตาของเขามีความดุดันซ่อนอยู่ เขาพลิกตัวแล้วค่อยๆเอามืออุดหูของหยุนชางไว้ การเคลื่อนไหวของเขาเงียบสนิทที่สุด “ไปนำตัวเหล่าฮูหยินรวมทั้งคุณชายสามในจวนฉีมามัดไว้ แล้วนำไปไว้ในที่ที่ลับตาคน”
มีเสียงขานรับกลับมาเบาๆ จากนั้นจิ้งอ๋องจึงเอามือออกจากหูของหยุนชาง เขาหลับตาลงเคียงข้างกับหยุนชาง
เมื่อใกล้จะถึงชั่วยามที่ 3 จิ้งอ๋องก็เรียกหยุนชางให้ลุกขึ้น หยุนชางสวมชุดคลุม แล้วเดินออกไปจากกระโจม นางมุ่งหน้าไปยังกระโจมที่อยู่ลับหูลับตาคนทางด้านตะวันตกของค่ายทหาร ที่นั่นเป็นแหล่งซ่องสุมนางโลม เมื่อหยุนชางเพิ่งเข้ามาในค่ายทหารแห่งนี้ในช่วงแรกๆ นางไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ในเขตฐานทัพจะมีสถานที่เช่นนี้ นางเคยสั่งให้เหล่านางโลมออกไปจากค่าย สร้างความไม่พอใจให้ฉีหล่างเป็นอย่างมาก
หยุนชางและเฉี่ยนอินย่องไปข้างกระโจมนางโลมด้วยความระมัดระวัง พวกนางได้ยินเสียงเสียงหนึ่งที่ลอดออกมาจากด้านใน เสียงคนที่กำลังพูดอยู่ฟังดูคุ้นหูนัก คือเสียงของฉีหล่างนั่นเอง
“เมืองคังหยางอย่างไรก็คือถิ่นของข้า ฉีหล่าง พวกท่านมาเป็นพวกเดียวกับข้ารับรองว่าจะไม่มีทางผิดหวัง ตอนนี้นังตัวดีรูปงามนั่นพยายามชักชวนนายทหารคนอื่นๆให้ไปเป็นพรรคพวกเดียวกันเพื่อที่จะเอาชนะข้า ช่างเป็นความคิดที่ไม่เอาไหนจริงๆ ในเมื่ออยู่ในเขตเมืองคังหยางแล้ว ข้าไม่สนว่านางจะเป็นถึงพระชายาหรือว่าใครก็ตาม อย่าได้คิดว่าจะรอดชีวิตกลับไปได้ง่ายๆ” ฉีหล่างพูดขึ้นด้วยความเคียดแค้น
มีคนโต้ตอบ “แต่ว่าตอนนี้ยังมีจิ้งอ๋องอยู่ภายในค่าย ได้ยินว่าฝีมือของเขาเก่งกาจมาก หากจิ้งอ๋องรู้เรื่องนี้ขึ้นมาล่ะก็……”
ฉีหล่างหัวเราะออกมา “อีกไม่เกิน 3 วัน จิ้งอ๋องก็จะเสด็จออกไปจากเมืองคังหยางเพื่อไปยังเมืองจิ้งหยาง เพราะเมื่อบ่ายวันนี้ มีผู้ไปสืบข่าวได้ความมาว่าฮวากั๋วกงแห่งแคว้นเซี่ยได้ปักหลักอยู่บริเวณนอกเมืองจิ้งหยาง ฮวากั๋วกงเป็นถึงแม่ทัพเก่าแก่ของแคว้นเซี่ย จิ้งอ๋องจึงต้องเสด็จไปตรวจตรา แม่ทัพที่ประจำการอยู่ที่เมืองจิ้งหยางนั้นมีจำนวนไม่มาก หนึ่งในนั้นก็มีจางฉี ซึ่งเป็นคนของจิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องจึงต้องเสด็จไปให้การสนับสนุน”
ฮวากั๋วกงมาปักหลักอยู่บริเวณนอกเมืองจิ้งหยาง? หยุนชางตกใจมาก เหตุใดนางไม่เคยได้ยินข่าวนี้มาก่อน?
ฉีหล่างดูแลเมืองคังหยางแห่งนี้มาเนิ่นนาน ข่าวกรองเช่นนี้ไม่น่าจะผิดพลาด เกรงว่าเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่
ฮวากั๋วกง……หยุนชางขมวดคิ้ว นั่นเป็นท่านตาของจิ้งอ๋องนี่นา
เสียงที่ดังขึ้นมาจากในกระโจมพลันแทรกเข้ามาเรียกร้องความสนใจไปจากหยุนชาง “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราก็คงไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ดูแม่โฉมงามนั่นคอยเจ้ากี้เจ้าการเรื่องการทหารเช่นนี้ ท่านแม่ทัพเห็นว่าควรจะจัดการอย่างไร? ข้าพร้อมที่จะสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่”