หยุนชางสังเกตเห็นว่าร่างกายของบุคคลนั้นแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงรีบกล่าวว่า “ขออภัย ข้าถูกไล่ฆ่า ขอข้าหลบชั่วคราวก่อน”
“เจ้าได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ” เสียงอ่อนโยนดังมาจากข้างหลังนาง ค่อนข้างคุ้นเคย
หยุนชางตกตะลึง หันกลับมามองชายในชุดเขียวขมวดคิ้วเล็กน้อย “หลิ่วหยินเฟิง?”
แต่หลิ่วหยินเฟิงดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของนาง ตาของเขาจ้องบนแขนของนาง เขายกมือขึ้นและลากหยุนชางเข้าไปในบ้าน “เจ้าบาดเจ็บสาหัส หากไม่รีบทำการรักษา เกรงว่าแขนข้างนี้จะไม่สามารถใช้การได้แล้ว”
หยุนชางขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงผู้คนที่ไล่ตามหลังมา ขมวดคิ้ว แต่ก็ให้หลิ่วหยินเฟิงดึงเข้าไปในบ้าน ในห้องมืดมิด หลิ่วหยินเฟิงเดินไปจุดตะเกียง หยุนฉางจึงได้เห็นว่า การจัดวางของห้องนี้ เกือบจะเหมือนกับห้องที่อยู่นอกเมืองคังหยางทั้งหมด
“ทำไมเจ้าถึงอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ควรอาศัยอยู่ที่จุดพักม้ากับจักรพรรดิเซี่ยหรือ” หยุนชางมองไปที่ชายชุดเขียวที่ก้มตัว เหมือนกำลังพลิกหาอะไรบางอย่างบนชั้นวางหนังสือด้านหลังโต๊ะ แล้วถามอย่างแผ่วเบา
ชายชุดเขียวพบขวดสีเขียวขนาดเล็กและผ้าขาวบนชั้นวางหนังสือ และเดินมา “ข้ามีโรครักความสะอาด และไม่ชอบสถานที่อย่างจุดพัก ข้าเลยซื้อบ้านเล็กๆทุกที่ จากนนั้นก็ให้คนตกแต่งในลักษณะเดียวทั้งหมด ถ้าไปที่ที่นั้น ก็จะอาศัยในบ้านเล็กๆในที่นั้น” หลิ่ว หยินเฟิงเดินเข้ามา เลิกคิ้วให้หยุนชาง “เอาแขนเสื้อขึ้น ข้าจะใส่ยาให้เจ้า”
หยุนชางก็ไม่อ้อมค้อม ยกมือขึ้นแล้วยกแขนขึ้น แผลอยู่ที่แขน ลึกจนเห็นกระดูก หยุนชางดึงแขนเสื้อขึ้น และหลิ่วหยินเฟิงเทผงสีขาวในขวดลงบนแผล หลังจากที่ทาให้สม่ำเสมอ ก็พันด้วยผ้าขาว
“นี่แค่ยารักษาแผลธรรมดาๆ จะหยุดเลือดก่อน หลังจากกลับจวน ก็รีบให้หมอตรวจดู แผลนี้ลึกมาก ถ้าไม่ได้รับการรักษาให้ดี เกรงว่าแขนจะใช้การไม่ได้อีก” น้ำเสียงของหลิ่วหยินเฟิงแข็งเล็กน้อยไม่อ่อนโยนเหมือนปกติ
“อือ ข้ารู้แล้ว” หยุนชางดึงมือกลับ และทั้งห้องก็เงียบลง
หลิ่วหยินเฟิงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหยุนชาง “ใครกำลังไล่ล่าเจ้า เจ้าไม่ใช่มีองครักษ์ลับอยู่เคียงข้างเจ้าหรือ? ทำไมจิ้งอ๋องไม่อยู่กับเจ้า?”
“หือ?” หยุนชางชะงักเล็กน้อย เว้นชั่วครู่ แล้วพูดว่า “ก็แค่นักฆ่าเท่านั้น ข้าไม่เห็นหน้าพวกเขาด้วยซ้ำ จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นใคร องครักษ์ลับ ถูกหลอกโดยแผนล่อเสือออกจากถ้ำ สำหรับจิ้งอ๋อง แม้ว่าเราจะเป็นสามีภรรยากัน แต่เราไม่ใช่ว่าจะอยู่ด้วยกันตลอด…”
ทั้งสามคำถาม ถูกตอบทีละคำถามอย่างจริงจัง
หลิ่วหยินเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอีกครั้งว่า “เจ้ากำลังสืบสวนเรื่องของรัชทายาทอยู่หรือ”
“อือ”หยุนชางพยักหน้า เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ
“ตอนบ่ายของวันนี้ ข้าก็ไปคุกหลวงมา” หลิ่วหยินเฟิงพูดอย่างเฉยเมย “ในห้องขังที่รัชทายาทเคยถูกคุมขัง ข้าพบร่องรอยการเผาธูปพระพุทธเจ้า”
“ธูปพระพุทธเจ้า?” หยุนชางมองไปที่หลิ่วหยินเฟิง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสน “นั่นคืออะไร?”
หลิ่วหยินเฟิงถอนหายใจ แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะ “ตอนที่อยู่ที่ชายแดนชางเอ๋อร์หลอกข้าอย่างน่าสมเพชจริงๆ ข้าไม่เคยคิดเลย คิดว่าตัวเองฉลาดมาโดยตลอด แต่ต้องหลงกลหญิงสาวคนหนึ่ง”
“…” หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือกอื่น หวังว่ากุนซือหลิ่วจะให้อภัย”
“เรียกข้าว่าหยินเฟิงก็พอ” หลิ่วหยินเฟิงยิ้มที่มุมปากของเขา ยิ้มจนเหมือนสุนัขจิ้งจอก
หยุนชางขมวดคิ้ว แต่นางกระตือรือร้นเล็กน้อยที่อยากจะรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าธูปพระพุทธเจ้าคืออะไร หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็ด่าในใจ หลิ่วจิ้งจอก แต่พูดด้วยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของนาง “หยินเฟิง”
หลิ่วหยินเฟิงพยักหน้า แววตาที่เผยรอยยิ้มลึกๆ เสียงที่อ่อนโยน “ธูปพระพุทธเจ้านั้น มักใช้โดยนักฆ่าที่มีชื่อเสียงในแคว้นเซี่ย ซึ่งอาจทำให้คนมึนงงสับสน ถ้าใช้น้อย ก็ทำใหสติเลอะเลือน ถ้าคนที่มีจิตใจที่ไม่ค่อยแข็งแกร่ง อาจตอบคำถามโดยง่าย นี่แค่ใช้เล็กน้อย แต่ก็ต้องน้อยมาก โดยทั่วไปก็จะได้ผลดีสำหรับผู้ป่วย ถ้าใช้ในปริมณมากขึ้น อาจทำให้คนหมดสติได้โดยตรง แต่ธูปพระพุทธองค์นี้มีข้อเสียคือ มีกลิ่นหอมแรง และคงอยู่ได้นาน หากจัดการไม่ถูกวิธี มีโอกาสมากที่จะถูกเปิดเผยตัวได้”
หลังจากได้ฟัง หยุนชางเงียบลง นางคิดว่า นางรู้แล้วว่าทำไมกลิ่นน้ำมันตุงในคุกถึงรุนแรงนัก บางทีอาจเป็นเพราะต้องการกลบกลิ่นธูปพิเศษของธูปพระพุทธเจ้า ในเมื่อเป็นของแคว้นเซี่ย จึงเป็นไปไม่ได้ที่รัชยาทแห่งแคว้นเซี่ยจะไม่รู้ และเป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิเซี่ยจะไม่รู้ เพื่อปกปิดความจริง พวกเขาจึงใช้น้ำมันตุงจำนวนมากเพื่อสร้างภาพลวงตาของการเผาคุกหลวง
และทำไมกุญแจที่ประตูห้องขังของหนิงหัวจิ้งไม่เสียหาย แต่กลับถูกสลับตัวได้ และทำไมกับดักที่มากมายในคุก แต่ยังไม่ถูกใช้งาน ก็สามารถอธิบายได้อย่างง่ายดาย นางเพียงต้องตรวจสอบ ว่าทหารยามหรือผู้คุม มีผู้ที่กำลังป่วยหรือไม่ ก็จะได้คำตอบ
“รัชทายาทถูกคุมขังในคุกมาเป็นเวลานานแล้ว หากจักรพรรดิเซี่ยสนใจ เกรงว่าเขาจะได้รับการช่วยเหลือตั้งนานแล้ว ทำไม?” หยุนชางมองหลิ่วหยินเฟิงและถามคำถามที่นางอยากถามมาโดยตลอด
หลิ่วหยินเฟิงยิ้มเบาๆ “รัชทายาท… อันที่จริงคนที่ฝ่าบาททรงพอพระทัย ไม่ใช่รัชทายาทเลย อีกทั้ง…”
พูดถึงจุดนี้ หลิ่วหยินเฟิงก็หยุด ยิ้มเล็กน้อย “นี่คือความลับบางอย่างของแคว้นเซี่ยของเรา ข้าก็เลยบอกเจ้าไม่ได้”
หยุนชางเงียบลง คนโปรดของจักรพรรดิเซี่ยไม่ใช่เซี่ยโหเหยียน แล้วทำไมเขาถึงให้เซี่ยโหเหยียนเป็นรัชทายาท
ดูเหมือนว่าคำถามในสายตาของหยุนชางจะชัดเจนเกินไป และหลิ่วหยินเฟิงยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทำไมเจ้าถึงต้องการให้หลิวชิงหย่าเป็นฮองเฮา แต่ ไม่ใช่เสด็จแม่ของเจ้าล่ะ”
หยุนชางมองไปที่หลิ่วหยินเฟิง ด้วยความสงสัย นางคิดว่าไม่มีข้อบกพร่องในสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้านางจะไม่เคยอยู่ในเมืองหลวงมาก่อน แต่เขามองออก และพูดอย่างใจเย็นต่อหน้านาง ด้านหนึ่ง นางพบคำตอบจากคำถามของนางเอง นางสนับสนุนหลิวชิงหย่าเป็นฮองเฮา เพราะเนื่องจากตำแหน่งฮองเฮา มักเป็นที่เกลียดชังที่สุด นางจึงสามารถปิดกั้นแผนการที่จะจู่โจมเสด็จแม่ได้ด้วยการผลักใครบางคนขึ้นไป
จุดประสงค์ของการแต่งตั้งเซี่ยโหเหยียนเป็นรัชทายาทของเซี่ยหวนอวี่นั้น ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน
“ข้าเห็นว่าตอนที่เจ้าอยู่ที่ชายแดน เจ้าสนิทสนมกับรัชทายาท พอเกิดเรื่องขึ้นกับเขา ทำไมเจ้าถึง…”
“ทำไมไม่ช่วยเขา?” หลิ่วหยินเฟิงรับประโยคและพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้ที่ข้าภักดีมาโดยตลอด มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้น”
การแสดงออกของหลิ่วหยินเฟิงสงบมาก แต่หยุนชางก็ตระหนักว่านางถามมากเกินไป บางทีอาจเป็นเพราะหลิ่วหยินเฟิงเพิ่งพูดเกี่ยวกับบทบาทของธูปพระพุทธเจ้ากับนาง และดูเหมือนว่าเขาจะตอบคำถามทุกข้อ ทำให้นางหละหลวมตัวโดยไม่รู้ตัว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หยุนชางก็เงียบลงอีกครั้ง นั่งขมวดคิ้ว คิดในใจว่ามันเป็นสิ่งที่หน่วยนักฆ่าของแคว้นเซี่ยใช้ ดังนั้นคนที่บงการพวกเขา คงจะเป็นคนของแคว้นเซี่ย คนของแคว้นเซี่ย…
เซี่ยโหเหยียนตายไป ทุกคนก็ต้องสงสัยในตัวของจิ้งอ๋อง หากทำเช่นนี้ ใครจะได้ประโยชน์มากที่สุด?
หยุนชางหรี่ตา เซี่ยโหเหยียนและจิ้งอ๋องพวกเขาทั้งสองมีสถานะตัวตนที่เหมือนกัน นั่นคือ ลูกชายของเซี่ยหวนอวี่ มีเพียงสองความเป็นไปได้ที่วางแผนฆ่าลูกชายของเซี่ยหวนอวี่ หนึ่งคือมีความเกลียดชังต่อเซี่ยหวนอวี่อย่างลึกซึ้ง อย่างที่สองคือเพื่อที่จะได้บางสิ่งที่ลูกชายของเซี่ยหวนอวี่อาจได้รับ อย่างเช่น บัลลังก์