หลังจากที่ทุกคนออกไป นักสะกดจิตดูสถานกาณ์ของเวินหนิง จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
“ทำไมเหรอ?”
“ตอนนี้ความหมกมุ่นของเธออยู่ลึกเกินไป ถ้าหากคุณต้องการลบหน่วยความจำโดยบังคับ เกรงว่าจะทำให้เกิดการดีดกลับอย่างรุนแรง”
“งั้น…ต้องทำยังไง?”
เหอจื่ออันคิดไม่ถึงว่าจะซับซ้อนขนาดนี้ เขาบดขยี้ก้นบุหรี่ในมืออย่างแรง
ถ้าหากการสะกดจิตถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง ถึงเวลานั้นสถิติของความล้มเหลวจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น…ถึงเขาจะตายก็ไม่มีทางให้อภัยตัวเอง
“ตอนนี้สิ่งที่เธอหมกหมุ่นอยู่ มันคืออะไรครับ?”
เหอจื่ออันขมวดคิ้ว คืออะไรเหรอ…เขานึกถึงเรื่องเด็กในทันที แต่มีการคาดเดาที่ลึกซึ้งกว่านั้น เขาไม่อยากจะพูดออกมาด้วยซ้ำ
ตอนนี้เวินหนิง…ปล่อยวางลู่จิ้นยวนแล้วจริง ๆ เหรอ?
บนโลกนี้ไม่มีความรักที่ไร้เหตุผล และก็ไม่มีความเกลียดที่ไร้เหตุที่มา เป็นเพราะลู่จิ้นยวนทำลายตนเอง หรือเป็นเพราะความเกลียดที่เกิดจากความรักแข็งแกร่งมากกว่า เรื่องนี้เหอจื่ออันไม่สามารพูดอย่างชัดเจนได้
แต่ว่าเขาหวังว่าจะลบลู่จิ้นยวนคนนี้ออกไปจากสมองของเวินหนิงให้สนิท นี่คือความจริง
“ถ้าหากสามารถคิดหาวิธีได้ ให้เธอปล่อยวางชั่วคราว อัตราความสำเร็จของการสะกดจิตจะสูงขึ้นมาก”
เดนิสพูดจบ ก็รอคำตอบของเหอจื่ออันอยู่เงียบ ๆ
“ฉันรู้แล้ว นายเตรียมตัวไว้ก่อน เรื่องอื่นฉันจะจัดการเอง”
เดนิสพยักหน้า แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “แต่เมื่อความทรงจำถูกลบออก เธอยังเป็นคนที่คุณชอบอยู่ไหม คุณเคยคิดบางไหม?”
พูดจบ ร่องรอยแห่งความเศร้าฉายในดวงตาสีฟ้าของชายคนนั้น
ตอนนั้นเขาเพื่อต้องการครอบครองหัวใจของผู้หญิงที่รักคนหนึ่ง ถึงได้เรียนรู้การสะกดจิตบ้าบอแบบนี้ หลังจากที่เขาสะกดจิตตผู้หญิงคนนั้น แน่นอนว่าเธอเป็นเหมือนสิ่งเหล่านั้นที่เขาปลูกฝัง หลงรักตัวเอง
แต่ว่าความรักแบบนี้ ถือว่าเป็นการใช้วิธีหลอกลวงถึงจะได้มันมา ถึงแม้ว่าจะได้ครอบครองแล้ว แต่ต้นจนจบไม่มีความรู้สึกของความเป็นจริงอยู่ เดนิสก็ยังอยู่ในความตื่นตระหนกกระวนกระวายใจแบบนี้ เขาค่อย ๆ มองหัวใจตัวเองอย่างไม่ชัดเจน
ในที่สุดเขาเลือกที่จะแยกจากผู้หญิงคนนั้น แต่ผูุ้หญิงที่ถูกเขาปลูกฝังความคิด กลับยอมรับความเป็นจริงนี้ไม่ได้ ในตอนที่ออกตามหาเขาจึงเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต
หลังจากนั้นเป็นต้นไป เดนิสจึงเปลี่ยนชื่อนามสกุล เร่ร่อนไปทั่ว เขาไม่กล้าใช้ชีวิตปกติโดยไม่มีความกังวล ความรู้สึกผิดทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก
การได้พบกับเหอจื่ออันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ ในตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุขณะเร่ร่อน เดิมทีเขาคิดว่าชีวิตของเขากำลังจะจบลง แต่กลับถูกช่วยเอาไว้
คนที่ช่วยเขาไว้ก็คือเหอจื่ออัน เขาในตอนนั้น เป็นแค่คนธรรมดาที่ใช้สองมือต่อสู้ เพียงแต่ได้เห็นท่าทางดิ้นรนที่เจ็บปวดของเขา เดนิสมีความคิดที่อยากจะตอบแทนเขา จึงติดตามเขามาโดยตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนนั้นที่เย็นชากับทุกเรื่อง จะชอบผู้หญิงแบบนี้ได้ ผู้หญิงที่ดูธรรมดา ๆ คนนึง
“อันที่จริง…ฉันติดหนี้เธอ ฉันจำเป็นต้องชดใช้…”
เหอจื่ออันถอนหายใจ แล้วพูดเรื่องราวของเวินหนิงออกมา เดนิสคือคนที่เขาสามารถไว้ใจได้ ดังนั้นเขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปิดบัง
“ฉันไม่ได้อยากใช้วิธีการสะกดจิตทำให้เธอรักฉัน หรือจะอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่า…ฉันไม่อยากให้เธอมาอยู่ที่นี่อย่างทนทุกข์เพื่อคนที่ไม่คู่ควร ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุขมากขึ้นในอนาคต”
“นี่ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ฉันทำให้เธอ”
เหอจื่ออันพูดเบา ๆ เดนิสก้มหน้าลม เข้าใจความคิดของเขา
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ บางทีคุณสามารถให้เธอได้พบกับลูกของเธอสักครั้ง จากนั้นเริ่มสะกดจิตเธอในตอนที่เธอพึงพอใจที่สุด มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง”
“แบบนี้เหรอ?”
เหอจื่ออันหยักหน้า “ฉันรู้แล้ว ฉันจะพยายามทำมันให้ได้”
อยากจะให้เวินหนิงได้เจอหน้าลูก มันยากมาก แต่เพื่ออนาคตของเธอ เหอจื่ออันตัดสินใจที่จะลองดู
คิดได้ดังนั้น เหอจื่ออันจึงโทรศัพท์หาไป๋หลินยวี่
“หนิงหนิงเป็นยังไงบ้าง?”
ไป๋หลินยวี่ร้อนใจเป็นอย่างมาก เธอรับโทรศัพท์แล้วถามถึงสถานการณ์ของเวินหนิงในทันที
“ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่ เพียงแต่ว่า…”
เหอจื่ออันหยุดพูด แทบจะบีบบังคับไป๋หลินยวี่จนจะเป็นบ้า เธอเริ่มเสียใจด้วยซ้ำ เกลียดตัวเองที่ทำไมต้องเอารูปลู่อันหรานให้เวินหนิงดู
ถ้าหากไม่ได้เห็น บางทีอาจจะยังดีอยู่ แต่เมื่อได้เห็นแล้ว ความรู้สึกอยากอยู่กับเลือดเนื้อของตัวเอง เธอจะระงับมันได้ยังไง?
เธอมันโง่จริง ๆ
“วันนี้ คุณน้าได้เจอกับเด็กคนนั้นแล้วใช่ไหมครับ?”
“ใช่ ฉันไม่ควรจะเอารูปให้เธอดู…ฉันประหมาดไป…”
“ไม่ครับ ผมรู้ความคิดของคุณน้า คุณน้าหวังว่าเธอจะดีใจจึงได้ทำแบบนี้…นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณน้า ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตระกูลลู่ ทำให้สองแม่ลูกแยกจากกัน ที่นำไปสู่ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในตอนนี้”
ได้ยินคำพูดนี้ ไป๋หลินยวี่สบายใจขึ้นนิดหน่อย
“ผมมีวิธีนึง…”
เหอจื่ออันพูดเบา ๆ เขาอยากจะให้เวินหนิงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป เธอต้องหลุดพ้นจากโซ่ตรวนของเด็ก
แย่งเด็กมาจากตระกูลลู่ เขาไม่สามารถทำได้ชั่วคราว ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เขาจำเป็นต้องให้เวินหนิงได้เจอเด็กคนนั้นสักครั้ง
“นายพูดว่า…” ไป๋หลินยวี่ถลึงตาโต ความคิดของเหอจื่ออัน ใจกล้าไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
ถ้าหากเวินหนิงได้พบลูก ถึงจะได้เจอเดือนละไม่กี่ครั้ง บางทีเธออาจจะดีขึ้นเยอะ
“ฉันเข้าใจแล้ว รอตอนที่ฉันไปเยี่ยมเด็กน้อย ฉันจะบอกเธอ”
ไป๋หลินยวี่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ร่องรอยแห่งความมุ่งมั่นฉายประกายอยู่ใต้ดวงตาของฉัน
เหอจื่ออันวางสายโทรศัพท์ สำหรับการสะกดจิตเรื่องนี้ เขาบิดบังเอาไว้ ถ้าหากไป๋หลินยวี่รู้ บางทีเธออาจจะปฏิเสธ เมื่อเป็นเช่นนั้นสิ่งต่าง ๆ ก็จะเป็นไปได้ยาก
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่นี้ ถึงเวลานั้นค่อยหาข้ออ้างอย่างขอไปที
…
เหอจื่ออันอยู่ในห้อง รอให้เวินหนิงตื่นขึ้นมา
เขามองดูหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง เธอซีดขาวแบบนี้ เธอเหมือนกระดาษสีขาว ล่องลอยอยู่บนเตียง ให้ความรู้สึกว่าจะหายไปเมื่อไหร่ก็ได้
ไม่ เขาไม่มีทางจะทำให้เธอหายไป
เหอจื่ออันจ้องมองเธอ เขาติดหนี้เธอเยอะไป จำเป็นต้องชดใช้ให้เธอ เขาจะไม่ปล่อยให้เธอต้องประสบอุบัติเหตุใด ๆ
หลังจากที่เวินหนิงหลับไปอยู่นาน ฤทธิ์ของยาระงับประสาทลดน้อยลง เธอลืมตาขึ้น
แล้วจึงเห็นเหอจื่ออันที่นั่งอยู่ข้างเตียง
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว? ฉันหลับไปนานมากใช่ไหม…”
เวินหนิงยังคงงุนงง เธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนฝันไป ในความฝันเธอเห็นลูกของเธอ แล้วก็พ่อของลูก
เพียงแต่เธอต้องการจะจับชายเสื้อของเด็ก แต่จับยังไงก็จับไม่ได้
“เธอหลับไปประมาณเจ็ดแปดชั่วโมง” เหอจื่ออันเห็นความไม่สงบในดวงตาของเธอ เขารู้สึกเป็นห่วง “ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ช่วงนี้ เธอจะต้องดูแลตัวเองให้ดี รอให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ฉันถึงจะพาเธอไปหาลูกของเธอ…”