“แกรู้หรือเปล่า ถ้าลู่จิ้นยวนช่วยแก อีกหน่อยชีวิตของแกราบรื่นแค่ไหน”
เย่ซือเยวี่ยพูดไปด้วยก็ตบขาตัวเองไปด้วย
เพื่อนสนิทนี่ตาถั่วจริงๆ ซื่อสัตย์จนซื่อบื้อไปแล้ว
“งั้น ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
โม่โยวไม่ได้พูดว่าตัวเองมีเบอร์โทรของลู่จิ้นยวน เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนคนนั้นอีก
“เธอบาดเจ็บ โม่เทียนยวี๋ล่ะ? ว่าที่สามีก็ไม่มาเยี่ยมเธอ ทำแบบนี้เกินไปหรือเปล่า?”
“เขางานยุ่งมาก แล้วยังอยู่ต่างประเทศด้วย……”
พอพูดถึงโม่เทียนยวี๋ โม่โยวก็รู้สึกเสียใจ
เธอยังไม่มีความกล้าที่จะไปติดต่อคนคนนั้น
เพราะคิดว่าอาจจะต้องเผชิญกับการถูกทอดทิ้ง โมโยว่ก็รู้สึกกลัว เพราะว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นกับทุกอย่างที่มีอยู่ตอนนี้ เธอก็รู้สึกเหมือนฝัน จนคิดว่าตัวเองเป็นโรคจิตไปแล้ว
“แกอย่าบอกนะว่าเขาไม่รู้ว่าแกเกิดเรื่อง?”
เย่ซือเยวี่ยพูดด้วยสีหน้าตกใจ แฟนตัวเองเกิดเรื่องขนาดนี้ แต่ว่าที่สามีกลับไม่สนใจ
ความสำพันธ์ระหว่างพวกเขา ในสายตาเธอกลับรู้สึกแปลกๆ
โดยเฉพาะโม่เทียนยวี๋ ถึงแม้จะดูเหมือนคลั่งรักแล้วยอมรับทุกอย่างได้ แต่การกระทำของเขา กลับดูเหมือนใส่หน้ากากไว้ แล้วให้คนมองไม่ทะลุ
แต่ว่า เย่ซือเยวี่ยเคยพูดกับโม่โยวแล้ว แต่เธอไม่ได้ฟังความคิดเห็นของตัวเอง เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงอีก
“ถึงจะยุ่งแค่ไหน ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องงาน ถ้าอีกหน่อยเกิดอะไรขึ้นกับแกอีก เขาก็จะไม่สนใจแบบนี้หรอ? แล้วแกจะแต่งงานไปเพื่ออะไร?”
“ช่วงนี้งานที่บริษัทเยอะมาก เขาก็โทรมาหาน้อยกว่าแต่ก่อนจริง แต่ว่าฉันรู้สึกว่าปกติดี รอเขาจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วกลับไปเหมือนเดิมก็พอแล้ว”
ทีแรกโม่โยวก็ไม่รู้สึกอะไรมาก แค่ผิดหวังนิดหน่อย แต่พอเย่ซือเยวีายพูดแบบนี้ ในใจก็รู้สึกน้อยใจ
ถึงจะเป็นผู้หญิงที่รู้เรื่องมากแค่ไหน แต่ยังไงก็ต้องการความดูแลจากผู้ชาย โดยเฉพาะในเวลาที่อ่อนแอแบบนี้
แต่ว่า เพื่อที่โม่เทียนยวี๋จะไม่ให้รำคาญตัวเอง โม่โยวก็จะไม่เป็นฝ่ายที่ไปรบกวนเด็ดขาด
“ปกติที่ไหน เธอไม่ดูละครหรอ? ถ้าผู้ชายชอบผู้หญิงคนนั้นจริง อยากจะคุยกับเธอยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ อยากอยู่ด้วยกันทุกวัน เขาเย็นชากับเธอขนาดนี้ ถ้าแต่งงานแล้วก็ยังเป็นแบบนี้อีกเธอจะเตรียมตัวเป็นแม่ม่ายหรอ?”
“ไม่หรอก……”
โม่โยวเอ่ย แต่ก็ไม่มั่นใจในตัวเองเลย
“ถ้าผู้ชายคนหนึ่งไม่อยากจะติดต่อแกอีก คงไม่ใช่เพราะเรื่องงานยุ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะรู้สึกหมดสนใจ ถ้างั้น……ก็เพราะเขาสนใจคนอื่นมากกว่า”
พอเย่ซือเยวี่ยพูดแบบนี้ ก็ทำให้สีหน้าโม่โยวซีดขาวไปทันที
กับโม่เทียนยวี๋ เธอเชื่อใจอยู่แล้ว แต่ว่า……
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น เธอก็ไม่ได้เข้มแข็งเหมือนที่คิดไว้ ก็ยังต้องการคนปลอบใจแล้วก็ดูแลอยู่ดี
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ แกคิดเองแล้วกัน ฉันหิวแล้ว เดี๋ยวไปซื้ออะไรกลับมากินก่อน”
เย่ซือเยวี่ยไม่อยากเอาแต่บังคับเธอ ก็เลยเปลี่ยนประเด็น
โม่โยวค่อยนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้มีคนส่งของกินมาให้ไม่ต้องที่นี่มีอยู่แล้ว”
เย่ซือเยวี่ยพยักหน้า โม่โยวเปิดกล่องอาหารดูก็แปลกใจไปทันที
ของในนั้น เป็นของที่เธอชอบกินหมดเลย?
แต่ว่า เหมือนเธอจะไม่เคยบอกลู่จิ้นยวนว่าตัวเองชอบอะไร
คนคนนั้น ทำไมแม้แต่เรื่องแบบนี้ก็รู้?
โม่โยวรู้สึกเสียวสันหลัง หรือว่า เธอถูกสืบประวัติมาหมดแล้ว?
“เป็นอะไร? ของพวกนี้เป็นของที่แกชอบกินไม่ใช่หรอ?”
เย่ซือเยวี่ยมองไปที่เธอแล้วรู้สึกงง
โม่โยวส่ายหน้า มองเห็นอาหารตรงหน้า ก็ไม่รู้สึกหิวไปทันที
ส่วนหนึ่งยังติดใจเรื่องของโม่เทียนยวี๋อยู่ อีกส่วนหนึ่ง……ลู่จิ้นยวนก็ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
หลังจากที่กินไปไม่กี่คำ เย่ซือเยวี่ยก็เป็นฝ่ายเอ่ยว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเธอคืนนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเห็นเธออยู่ที่นี่คนเดียวแล้วรู้สึกสงสารมั้ง
โม่โยวไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งสองคนเก็บเตียงเสร็จ ก็นอนลงแล้วคุยกันฆ่าเวลาไปอย่างนั้น
ในทีวีก็เป็นรายการเกี่ยวกับการปรับความเข้าใจกัน เหมือนจะเป็นผู้ชายกับผู้หญิงคนนึง หลังจากแต่งงานแล้วค่อยรู้ว่าเธอเคยทำแท้ง เลยยอมรับไม่ได้ ทั้งสองคนก็เลยเคลียร์กันไม่ลงตัว
โม่โยวดูไปจนเหม่อ
ในทีวีทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันจนเกือบจะลงมือด้วยซ้ำ
“แกว่า ผู้ชายทุกคนก็ยอมรับไม่ได้กับเรื่องที่ผู้หญิงของตัวเองเคยมีลูกของคนอื่นใช่ไหม?” โม่โยวดูไปด้วย ก็มีอารมณ์ร่วมไปด้วย จากนั้นก็เศร้าไป นี่เป็นคำถามที่เธอคิดอยู่ในใจ
“ลูก? ทำไมถึงยอมรับไม่ได้ ตอนนี้ปีไหนแล้ว ยังมีคนมาแอนตี้เรื่องนี้อยู่หรอ? แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ปิดบังก็ทำไม่ถูก ไม่ซื่อสัตย์เลย ถูกแฉแบบนี้ก็สมควรแล้ว” พูดจบ เย่ซือเยวี่ยค่อยรู้สึกว่าโม่โยวผิดปกติ จึงมองไปที่เธออย่างระมัดระวัง
“ไม่มีอะไร ฉันก็แค่ถามเฉยๆ” โม่โยวรีบเปลี่ยนประเด็น
“ฉันคิดว่านอกจากผู้ชายที่ต้องรับช่วงต่อจากที่บ้าน ถ้าคนอื่นก็คงไม่สนใจเรื่องนี้ แค่เปิดใจคุยกันก็จบ เพราะยังไงก็มีแม่เลี้ยงเดี่ยวที่แต่งงานใหม่แล้วมีความสุขเยอะแยะไม่ใช่หรอ?”
โม่โยวพยักหน้า แต่ก็ยังหม่นหมอง พอเย่ซือเยวี่ยเห็นว่าอารมณ์เธอเป็นแบบนี้ ก็ไม่รบกวนเธออีก
อดีตของโม่โยว เธอรู้มาบ้าง แต่ไม่ลึกขนาดนั้น เธอรู้ว่าเธอผ่านความลำบากมาเยอะ แต่จำไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไรบ้าง เอาแต่ตื๊อถามก็ไม่ใช่นิสัยของเธอ ก็ทำได้แค่ปลอบใจเธอ “รายการแบบนี้ก็เป็นบทละครที่ผู้กำกับเขียนแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้น ไม่ต้องใส่ใจหรอก”
โม่โยวฟังคำปลอบใจของเย่ซือเยวี่ยไปด้วย ใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอรู้ว่าอีกฝ่ายหวังดี แต่ชีวิตของเธอ ถ้าต้องพูดถึงอดีตทุกอย่างของตัวเอง คงจะยิ่งไปกว่าบทละครในทีวีอีก แต่ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปไม่ใช่หรอ
เธอนึกถึงคำพูดของโม่เทียนยวี๋ วันที่เขาขอเธอเป็นแฟน เธอไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย คิดว่านั่นเป็นแค่เรื่องล้อเล่น แต่เขาก็ยืนยันว่าไม่สนใจเรื่องอดีตของเธอ
เป็นเพราะคำพูดนี้ ถึงแม้ตอนหลังเขาจะเริ่มเย็นชา เธอก็ไม่เคยสงสัยอะไรเลย ถ้าเขาไม่รักเธอ ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นยื้อเกี่ยวข้องกับคนแบบเธอ
เพราะฉะนั้น เธอก็ควร รู้สึกมั่นใจในตัวเขาไม่ใช่หรอ?
คิดไปด้วย โม่โยวก็ลุกขึ้น “ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
พอล็อคประตู เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเบอร์ของโม่เทียนยวี๋
พอคิดเวลา ตอนนี้เขาน่าจะเพิ่งตื่นนอน
โทรศัพท์ดังไปสักพักแล้ว แต่สำหรับโม่โยว แค่ไม่กี่วินาทีก็นานเหมือนหนึ่งศตวรรษ เธอกลั้นหายใจไว้ ไม่อยากจะพลาดเสียงตอบรับของอีกฝ่าย
สุดท้ายก็โทรออกแล้ว
“ฮัลโหล?” เสียงของโม่เทียนยวี๋มีความเหนื่อยล้า แล้วแฝงไปด้วยความหงุดหงิด
“ฉันเอง……” ในใจโม่โยวรู้สึกเกร็ง พอพูดก็พูดติดๆขัดๆ ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยพูดยังไง ถึงจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจ
“มีเรื่องอะไรหรอ?” เสียงของโม่เทียนยวี๋ลอยมา โม่โยวรู้สึกว่าเสียงของเขาแหบมาก ต่างกับเสียงที่อ่อนโยนในวันปกติอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่า เสียงลมหายใจก็ถี่มากด้วย
หรือว่าเขาป่วย?