เขาหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าแล้วโบกมือ “ไม่ ยังไม่ต้องทำให้เธอรู้ตัว นายออกไปก่อน”
ลู่จิ้นยวนเพิ่งจะมีแสงสว่างส่องเข้ามา แต่เขาไม่กล้าที่จะไปพิสูจน์ความจริง เขากลัว กลัวว่าทุกอย่างเขาจะคิดไปเอง กลัวว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นเหมือนที่เขาหวังไว้
ระยะเวลาห้าปียาวนานเกินไป เขาคาดหวังมากแค่ไหนที่จะได้เจอกับเวินหนิงอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นในฝันก็ยังดี แต่ก็ไม่มีสักครั้งเลย
เขายกมือขึ้นปิดตาตัวเองไว้ อีกไม่นาน อีกไม่นานก็จะรู้แล้วว่า โม่โยวเป็นเธอหรือเปล่า
……
สำหรับบางคนในแผนกออกแบบก็รู้สึกขัดตาโม่โยวมาก คนคนนี้ก็คืออ้ายเวยเอ๋อร์ ดีไซเนอร์ระดับเอของแผนก
แผนกออกแบบของบริษัทตระกูลลู่ แบ่งความสามารถแล้วก็ประสบการณ์ของดีไซเนอร์ทุกคนไว้อย่างชัดเจน มีระดับเอที่เป็นสูงสุดไปจนถึงระดับดี แล้วอ้ายเวยเอ๋อร์เป็นดีไซเนอร์ระดับเอ ความสามารถก็ต้องเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว
เสื้อผ้าครึ่งปีหลังของบริษัทเธอก็เป็นหนึ่งในคนรับผิดชอบ กับดีไซเนอร์ที่ร่วมงานด้วยกัน แล้วตำแหน่งก็สูงเท่าเธออย่างโม่โยว เธอก็ไม่แยแสเลย
กับบริษัทหวังกรุ๊ป เธอเคยไปสืบมา ก็ไม่ใช่บริษัทอะไรที่ใหญ่โตมาก ไม่คิดเลยว่าบริษัทเล็กขนาดนี้ บริษัทตัวเองจะไปร่วมงานด้วย
ไม่เพียงแค่นั้น ยังให้ดีไซเนอร์ของบริษัทฝ่ายตรงข้ามมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย แล้วมีอำนาจเท่ากับเธอ เธอก็ต้องไม่พอใจอยู่แล้ว
อ้ายเวยเอ๋อร์ไม่ไว้ในสายตาด้วยซ้ำ ยิ่งไม่มีทางเห็นหัวโม่โยวแน่นอน แต่ทั้งสองคนกลับรับผิดชอบงานครั้งนี้ด้วยกันเป็นเวลาสามเดือนอีก
ในแผนกออกแบบ โม่โยวกำลังตั้งใจวาดรูปอยู่ ทันใดนั้น ก็มีเอกสารลอยมาจากหัวแล้วหล่นลงบนโต๊ะเธอ จนเธอสะดุ้งตกใจ
“อ้า……”
เธอกุมมือตัวเองไว้แล้วหันกลับไป ดินสอก็ตกลงไปที่พื้น งานเอาแบบที่วาดไปได้แค่ครึ่งเดียวก็เสียหายจนต้องขมวดคิ้ว
อ้ายเวยเอ๋อร์กอดอกไว้ ยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูงด้วยท่าทางเย่อหยิ่งจองหอง แล้วเอ่ยด้วยท่าทางไม่แยแส
“โอ๊ย ขอโทษนะ เมื่อกี้มือฉันลื่น”
โม่โยวกัดริมฝีปากไว้ ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่ยังไงที่นี่ก็เป็นบริษัทของคนอื่น เธอก็พูดอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ คุณอ้ายมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
พูดไปด้วย เธอก็หยิบเอกสารนั้นขึ้นมาด้วย
“มี ดีไซเนอร์โม่ดูสิคะ งานออกแบบสิบกว่าแผ่นบนเอกสารนั้น เป็นงานของคุณหรือเปล่า?” อ้ายเวยเอ๋อร์เอ่ยอย่างเยือกเย็น
โม่โยวดูไปแล้วก็พยักหน้า “ใช่ค่ะ เป็นงานของฉันเอง”
รอบนี้เป็นการออกแบบเสื้อผ้าเด็ก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โม่โยวออกแบบเสื้อผ้าเด็ก เธอเห็นอ้ายเวยเอ๋อร์ทำสีหน้าแบบนั้นก็อดพูดไม่ได้
“คุณดีไซเนอร์อ้ายคะ ถ้าคุณรู้สึกว่างานออกแบบของฉันยังไม่ดีพอ ก็บอกได้นะคะ เราจะได้คุยกัน”
อ้ายเวยเอ๋อร์ยิ้มกลิ่น เธอคิดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีความสามารถมาร่วมงานกับเธออยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะคุยกันอีก
“ฉันอยากจะถามคุณว่า คุณวาดอะไรบนนั้น? ถ้าเสื้อผ้าที่บริษัทตระกูลลู่ออกแบบได้ปัญญาอ่อนขนาดนั้น จะไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกตลกเอาหรอคะ?”
โม่โยวไม่ได้โกรธ “ไม่ทราบว่าคุณคิดว่างานออกแบบแบบไหนถึงจะไม่ปัญญาอ่อนหรอคะ”
อ้ายเวยเอ๋อร์มองหางตาไปที่เธอ จากนั้นก็หยิบงานออกแบบของตัวเองออกมา “นี่เป็นงานของฉัน คุณก็ลองดูสิคะ แล้วมาคอมเม้นต์ดู”
คำพูดสุดท้ายพูดได้แสบหูมาก
แต่เธอไม่สนใจ เปิดดูงานออกแบบนิ่งเฉยด้วยท่าทางที่ตั้งใจ อย่างว่านะ อ้ายเวยเอ๋อร์เป็นดีไซเนอร์ระดับเอของบริษัทตระกูลลู่ มีความสามารถจริงๆ
เสื้อผ้าบนนั้น แต่ละตัวดูเด่นตามาก แต่ก็ไม่รู้สึกเชย ถ้าใส่อยู่บนตัวคนที่บรรลุนิติภาวะก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่า……”
“คุณดีไซเนอร์อ้ายคะ งานที่คุณออกแบบมาก็ไม่เลวนะคะ แต่ฉันรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมกับเด็ก”
“งานแรกของเราคือออกแบบเสื้อผ้าเด็กระหว่างอายุห้าขวบจนถึงสิบขวบ ถ้าเสื้อผ้าที่หรูหราเกินไป อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมมากนัก”
ที่อ้ายเวยเอ๋อร์ให้เธอคอมเม้นต์ ก็แค่พูดเล่น ไม่คิดหรือว่าเธอจะจงใจคอมเม้นต์แบบนี้ แล้วยังไม่ใช่คอมเม้นต์อะไรที่น่าฟังด้วย เธอรู้สึกโมโหจึงงานของตัวเองกลับมา
“คุณจะเข้าใจอะไร เสื้อผ้าออกแบบมาให้คนใส่ ใส่เสื้อผ้าก็ให้คนดู ใครไม่อยากใส่เสื้อผ้าที่หรูหราล่ะ? คุณกำลังเล่นตลกอะไร?”
โม่โยวมองไปที่เธอ “งานออกแบบของคุณดูเด่นตามาก แต่ฉันก็พูดแล้วว่า ครั้งนี้เป็นเสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้าเด็กก็ควรจะมีความเป็นเด็ก นอกจากจะต้องดูดีแล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้น มันต้องเหมาะสมด้วย”
เธอไม่ใช่คนที่อยากจะโต้เถียงกับคนอื่นมากนัก แต่ก็ต้องดูว่ากับใครแล้วเรื่องอะไร กับงานออกแบบที่ตัวเองชื่นชอบ ถึงแม้นิสัยของเธอจะเป็นคนเงียบๆ แต่ก็ไม่มีทางยอมเด็ดขาด
เมื่อคิดได้แบบนี้ เธอก็พูดตามตรง “ตามสัญญาแล้ว เสื้อผ้าเด็กครั้งนี้ฉันเป็นคนรับผิดชอบเอง คุณไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้ค่ะ”
เธอไม่ได้มีความหมายอื่น แต่อ้ายเวยเอ๋อร์กลับคิดไปเองว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังหลอกด่าว่าเธอยุ่งเรื่องของคนอื่น จนสีหน้าเขียวไปทันที
“โม่โยวใช่ไหม เธอต้องเข้าใจว่าตัวเองกำลังเหยียบอยู่ที่ไหน ที่นี่เป็นบริษัทตระกูลลู่ ไม่ใช่บริษัทเล็กๆของพวกเธอ”
“ที่บอสลู่ให้เธอรับผิดชอบงาน ก็แค่พูดผ่านๆไปแค่นั้น เธออย่าคิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นเลย”
โม่โยวอยากจะผ่านสามเดือนนี้ไปอย่างราบรื่น แล้วทำให้ทั้งสองบริษัทร่วมงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทุกครั้งปัญหาก็พุ่งมาหาเธอ
“ดีไซน์เนอร์อ้าย ถึงฉันจะไม่ใช่พนักงานที่นี่ แต่ฉันก็มาในฐานะผู้ร่วมงาน ถ้าคุณมีปัญหาอะไร ก็ไปคุยกับประธานลู่ได้ค่ะ”
เมื่ออ้ายเวยเอ๋อร์ได้ยินว่าเธอใช้บอสมากดดันตัวเอง ก็ยิ่งโมโหไปกว่าเดิม กำลังจะพูดอะไรอีก ข้างหลังก็มีเสียงที่เยือกเย็นดังขึ้น
“พวกคุณกำลังทะเลาะอะไรกัน?” ไม่รู้ว่าลู่จิ้นยวนมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ทีแรกเขาแค่จะมาดูการทำงานของโม่โยว ไม่คิดเลยว่า พอมาถึงก็เห็นทั้งสองคนโต้เถียงกันอยู่จนต้องขมวดคิ้ว
อ้ายเวยเอ๋อร์มองเห็นเขา ตาก็เป็นประกายทันที ท่าทางที่หยิ่งยโสจองหองเมื่อกี้ก็หายไปแล้วเอ่ยเสียงเบา “บอสลู่ คุณมาได้ยังไงคะ”
เขาไม่สนใจดีไซน์เนอร์อ้ายที่กระตือรือร้นของบริษัทตัวเอง แต่กลับมองไปที่โม่โยว “เกิดอะไรขึ้น?”
โม่โยวเล่าเหตุการณ์เมื่อกี้อีกรอบ แล้วเอ่ยเสียงเบา “ฉันคิดว่าเสื้อผ้าเด็กไม่จำเป็นต้องหรูหราขนาดนั้น แล้วครั้งนี้ก็ไม่ใช่ของแบรนด์เนมอะไรด้วย”
อ้ายเวยเอ๋อร์มองตาขวางไปที่เธอ แล้วรีบวิ่งไปหาลู่จิ้นยวน
“บอสคะ งานที่ฉันออกแบบมา ส่วนใหญ่ก็เป็นงานที่ขายดีทั้งนั้น คุณก็รู้ความสามารถของฉัน แต่ดีไซเนอร์โม่กลับไม่เห็นด้วย”
เธอหยิบภาพวาดของโม่โยวขึ้นมา “บอสดูสิคะ นี่เป็นสิ่งที่เธอออกแบบมา น่าตลกมากเลยค่ะ เป็นเสื้อผ้าที่ปัญญาอ่อนไม่มีความคิดสร้างสรรค์เลย ถ้าผลิตออกมาจริงๆบริษัทก็จะเสียหน้าเอาสิคะ”
ลู่จิ้นยวนเปิดดูที่ละหน้า โม่โยวก็รู้สึกเกร็งจนหายใจไม่สะดวก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เขาค่อยเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง
“ออกแบบได้ค่อนข้างดี”