ความเจ็บปวดที่เสียดแทงในร่างกาย กำลังบอกพานจื้อหลาน ว่าผู้ชายตรงหน้านี้มีวิธีการโหดเหี้ยม ร่างกายเธอสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ความกลัวในใจแพร่กระจาย
“ไม่พูดเหรอ? งั้นให้ฉันเดานะ มือซ้ายใช่ไหม? ”
เสียงลู่จิ้นยวนฟังดูแล้วไม่ใส่ใจนัก แต่เขายกเท้าขึ้นตามประโยคนี้ เหยียบลงไปข้อมือซ้ายของเธอและบิดมันอย่างแรงโดยไม่เกรงใจสักนิด
เสียงดังกรอบ……เสียงกระดูกหักดังก้องสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ทำให้จิตใจสั่นสะท้าน
“อ๊ะ……โอ๊ย……”
หน้าพานจื้อหลานบวมเป่ง เหงื่อออกอย่างท่วมท้น รูม่านตากว้างขึ้นราวกับกำลังจะหลุดออกไป หน้าผากปูดด้วยเส้นเลือดสีน้ำเงิน รู้สึกได้ว่าข้อมือถูกเหยียบโดยทำอะไรไม่ได้ ความเจ็บนั้นมันตราตรึงบนจิตวิญญาณ
ในตอนนี้ ในใจเธอมีความหวาดกลัวไร้ขอบเขต ชายคนนี้เป็นปีศาจ ไม่ใช่มนุษย์
ตอนนี้เธอเสียใจกับการกระทำของตัวเองที่ไปยั่วโมโหโม่โยวในวันนี้ ไม่อย่างนั้นเธอไม่ต้องแบกรับเรื่องพวกนี้เลย
สีหน้าลู่จิ้นยวนเหมือนปกติ ราวกับเหยียบกิ่งไม้ แค่กิ่งไม้ที่ตายแล้ว เขาหรี่ตา “หรือว่ามือขวา? ”
ไม่น่าแปลกใจที่เกิดเสียงดังกรอบขึ้นมาอีกครั้ง ข้อมือขวาพานจื้อหลานกระดูกหักเช่นกัน คราวนี้พานจื้อหลานไม่ได้เปล่งเสียงอะไร เพราะเจ็บจนหมดสติไป
ลู่จิ้นยวนเห็นเธอหมดสติ ก็ไม่ได้ทำให้ความโกรธเขาหายไป ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเดินออกไป
“สั่งคนที่นี่ไว้ ให้ดูแลเธอให้ดี”
ดูแลในที่นี้ ไม่ใช่การดูแลอย่างแท้จริง ใครๆ ก็เข้าใจความหมายมัน
อันเฉินไม่ได้ประหลาดใจ เจ้านายของเขาเห็นคุณโม่สำคัญพอๆ กับลูกตา หญิงชราคนนี้กล้าทำร้ายเธอถึงที่ เจ้านายเขาลงโทษเบาที่สุดแล้ว
ณ โรงพยาบาล
โม่โยวกำลังพักฟื้นในห้องผู้ป่วย บนโต๊ะเล็กเคลื่อนที่ตรงหน้า มีนิตยสารเสื้อผ้าหลายเล่มวางอยู่
ถึงแม้สองมือเธอได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังดี ข้างที่ค่อนข้างร้ายแรงคือมือขวา มือซ้ายโดนน้ำร้อนลวกไม่ใหญ่มาก ถ้าระวังหน่อยก็ใช้งานได้
ในขณะนี้
“แม่ แม่……”
เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กน้อยลู่อันหรานก็ดังเข้ามาจากข้างนอก ในเวลาเดียวกัน เสียงฝีเท้าเล็กๆ พุ่งตามเสียงเล็กๆ นี้เข้ามา คลานขึ้นมาข้างเตียงในพริบตาเดียว ดวงตากลมเต็มไปด้วยความกังวล
เห็นได้ชัดว่าเขารู้เรื่องโม่โยวแล้ว
โม่โยวคิดถึงเขาเช่นกัน แต่ไม่ได้วางแผนจะบอกลูกชายเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของตน ไม่อยากให้เจ้าหนูเสียใจ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว
“อันหราน แม่ไม่เป็นอะไร แค่ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย เดี๋ยวก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง” โม่โยวปลอบเขาด้วยเสียงอ่อนโยน
ใบหน้าเล็กลู่อันหรานตึงเครียดมาก แค่ผ่านไปหนึ่งถึงสองวัน แขนโม่โยวก็ห่อแน่นมาก มองอะไรไม่เห็นเลย
แต่เด็กน้อยก็รู้ว่าเธอโดนลวก เห็นหญิงชราที่เจอในห้างครั้งก่อนเป็นคนลวก ในใจเขาโกรธมาก
ถึงเขาไม่เคยลองก็รู้ ว่าโดนลวกมันเจ็บแค่ไหน เขาคิดว่าแม่ตัวเองเจ็บแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้
แต่เขาก็รู้ ตอนนี้ตัวเองยังเด็ก ทำอะไรได้ไม่มาก ยังดีที่พ่อไม่ปล่อยไอ้แก่คนนั้นไป
หลังจากเขารู้ว่าหญิงแก่คนนั้นเป็นแม่ของชายแซ่โม่ เขาก็เสียใจมาก ที่วันนั้นไม่ได้โกงเงินโม่เทียนยวี๋เพิ่ม หรือทำให้เขาเสียหน้ามากกว่านี้
แต่ไม่เป็นอะไร ต่อไปยังมีโอกาสอีก เฮอะ
ทุกวัน ลู่จิ้นยวนจะพาลู่อันหรานมาเยี่ยมโม่โยว อยู่กับเธอในห้องผู้ป่วยจนถึงดึกก่อนจะกลับไป เหมือนครอบครัวสามคนที่กลมกลืน
ช่วงที่โม่โยวกำลังรักษาแผล วันเวลาผ่านไปได้ไม่เลว แต่โม่เทียนยวี๋ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
หลังจากพานจื้อหลานถูกคุมตัว อุตสาหกรรมหลายแห่งของตระกูลโม่ก็ได้รับผลกระทบและถูกโจมตีต่างๆ จากไหนก็ไม่รู้
ตระกูลโม่อำนาจมีไม่น้อย แต่เทียบกับตระกูลลู่ไม่ได้ โม่ฉีจื้ออยากเขย่าตระกูลลู่ มันเป็นไปไม่ได้เลย
อีกทั้งพานจื้อหลานก็หายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ ไม่นานโม่ฉีจื้อก็สืบเจอจึงโกรธทันที เกลียดพานจื้อหลานเงียบๆ ที่ทำให้แผนตัวเองพัง
ลู่จิ้นยวนทำแบบนี้เพื่อโม่โยวในตอนนี้ เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจำโม่โยวได้หรือไม่
เขาออกหน้าไม่ง่าย และเรื่องพวกนี้ พานจื้อหลานเป็นคนทำ เขาให้โม่เทียนยวี๋แก้ไขเรื่องพวกนี้
ถึงแม้โม่เทียนยวี๋จะเห็นแก่ตัว แต่ก็ยังเป็นห่วงแม่เพียงคนเดียว เขาไม่คิดเลยว่าแม่ตัวเองจะก่อปัญหาใหญ่ขนาดนี้
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สับสนมาก ตามหลักการแล้วถึงแม้แม่จะทำร้ายโม่โยว มันก็เป็นเรื่องของโม่โยวกับพวกเขา ทำไมประธานบริษัทตระกูลลู่ถึงได้ไม่พอใจ แถมยังออกหน้าแทนโม่โยวด้วย
คิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าเขาก็ไม่พอใจอย่างมาก
ตอนแรกเขาจะติดต่อโม่โยวก่อน แต่เรื่องมันเกิดขึ้นอีกครั้งเหมือนกับสองสามวันนั้นที่ตนกลับประเทศ ไม่ว่ายังไงเขาก็ติดต่อผู้หญิงคนนั้นไม่ได้
เรื่องแบบนี้ มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาจำเป็นต้องสงสัย คราวก่อนผู้หญิงคนนั้นจงใจ มันจะเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างไร
ไม่มีทางเลือก หาโม่โยวไม่เจอ เขาเป็นห่วงแม่ตัวเองอีกครั้ง ทำได้แค่ฝืนตัวเองเดินไปบริษัทตระกูลลู่
ห้องทำงานประธานบริษัทตระกูลลู่
“เจ้านาย โม่เทียนยวี๋ต้องการพบคุณ รออยู่ที่แผนกต้อนรับล็อบบี้” อันเฉินรายงาน
ลู่จิ้นยวนคิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้านั่นจะมาหาตน ยังไงแม่เขาก็อยู่ในกำมือตน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ให้มันรอ บอกว่าบ่ายนี้อาจจะมีเวลาไปเจอมัน”
โม่เทียนยวี๋ก็ตามนี้ รออยู่ในล็อบบี้ในช่วงบ่าย แล้วก็รู้ว่าลู่จิ้นยวนไม่มีเวลามาเจอเขา ให้เขามาอีกทีพรุ่งนี้
ถึงแม้เขาจะโกรธมาก แต่ก็รู้น้ำหนักตัวเอง ไม่กล้าพูดอะไรมาก
ยังไงแล้วตระกูลโม่ก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสานที่บริษัทตระกูลลู่ นับประสาอะไรกับเขา
ผลสุดท้าย วันต่อมาก็เหมือนวันแรก ให้เขารอไปเปล่าประโยชน์หนึ่งวัน วันที่สามก็เหมือนวันก่อนหน้านี้ เป็นวันที่รอไปเปล่าประโยชน์
โม่เทียนยวี๋ก็ตระหนักได้เช่นกันว่าประธานลู่คนนั้นกำลังกลั่นแกล้งเขา
ถ้าไม่อยากเจอเขาจริงๆ ก็บอกตรงๆ ว่าไม่มาเจอ ทำไมต้องให้เขามาในวันถัดไปอีก โม่เทียนยวี๋ได้รับการปฏิบัติแบบนี้ ในใจก็ไม่พอใจสุดๆ
แต่เขามาเพื่อขอร้อง รวมถึงสามวันผ่านไป ก็ไม่รู้ว่าแม่เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าเขาจะมีอารมณ์มากแค่ไหน ก็ทำได้แค่กลั้น
สุดท้ายในวันที่สี่ ลู่จิ้นยวนก็ยอมมาเจอโม่เทียนยวี๋
เขารอมาตั้งหลายวันกว่าจะได้เจอ หลังจากเข้ามาในห้องทำงานก็ยิ้มเคารพอย่างเผลอตัว
“คุณชายโม่ มาหาฉันมีอะไรเหรอ? ” ลู่จิ้นยวนมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
โม่เทียนยวี๋รู้สึกความกดดันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ยิ้มสดใส พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ประธานลู่ ฉันได้ยินว่าคุณจับแม่ฉันไป คือ……อาจจะมีอะไรเข้าใจผิด”
ลู่จิ้นยวนส่ายหน้า พูดอย่างตรงไปตรงมา “ไม่เข้าใจผิด เธอทำร้ายผู้หญิงของฉัน ควรชดใช้”
ว่าไงนะ?
เขาตกตะลึง ความสนใจจดจ่ออยู่ที่คำว่าผู้หญิงของฉัน แม่ตัวเองทำร้ายโม่โยว สิ่งที่ลู่จิ้นยวนพูดหมายความว่าอย่างนั้นเหรอ?