เหมยซานไม่ได้อยู่บริษัทตระกูลลู่แล้ว เวินหนิงเองก็ไม่ได้ว่าอะไร
เธอใช้เวลาครึ่งวันเช้าจัดการกับงานที่สะสมมานานกว่าสิบวันจนเสร็จ ช่วงบ่ายก็มีหญิงสาวที่สวมเสื้อสีดำ ตัดผมสั้นทันสมัย หน้าตาสะสวยมารายงานตัว
“เจ้านาย ฉันชื่อเฉียวอวี่ค่ะ”
นี่เป็นบอดี้การ์ดที่ลู่จิ้นยวนหามาให้เธอ เป็นบอดี้การ์ดประจำตัว ที่จะคอยดูแลความปลอดภัยให้เธอตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งกลางคืนก็จะพักอยู่กับเธอด้วย
อันที่จริงลู่จิ้นยวนอยากทำแบบนี้มานานแล้ว แต่กลัวว่าเวินหนิงจะอึดอัด เลยไม่ได้เริ่มซะที แต่พอเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงตัดสินใจทันที
เกิดเรื่องไม่คาดคิดมากมายแบบนี้ เวินหนิงเองก็ไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยาก ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ต่อต้านการมาของบอดี้การ์ดคนนี้ และเปิดใจยอมรับมัน
…………
ภายในร้านกาแฟ
“เวินหนิง ช่วงนี้ฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับโครงการของบริษัทฯ จนไม่รู้ว่าเดือนที่แล้วเธอถูกจับขัง ทำไมเธอไม่บอกฉันสักคำ เรื่องมันยังไงกันแน่?” เย่ซือเยวี่ยพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่มีอะไรมาก ก็แค่บริษัทฯเข้าใจผิด” เวินหนิงไม่อยากพูดอะไรมาก จึงทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
เย่ซือเยวี่ยเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะยังไงแล้วเธอรู้ดีว่า บริษัทตระกูลลู่มีลู่จิ้นหยวนอยู่ ไม่มีใครทำอะไรเวินหนิงได้
เธอยกกาแฟขึ้นดื่ม สายตาเหร่ไปเห็นเฉียวอวี่ที่นั่งตัวตรงด้วยสีหน้าเข้มขรึมอยู่ข้างๆ ก่อนมองเวินหนิงแล้วถามเสียงเบา
“เธอเป็นใคร?”
“บอดี้การ์ดที่ลู่จิ้นยวนหามาดูแลฉัน ชื่อเฉียวอวี่”
เย่ซือเยวี่ยอึ้งจนตาโต ก่อนมองเฉียวอวี่ด้วยสายตาวิบวาบ บอดี้การ์ดหญิง เจ๋งอ่ะ ถึงว่าดูแล้วเทห์ไม่เบา
“หวัดดีพี่เฉียว ฉันชื่อเย่ซือเยวี่ย เป็นเพื่อนกับเวินหนิง คือพี่เป็นบอดี้การ์ดนี่ฝีมือการต่อสู้น่าจะเก่งมากใช่มั้ย? ฉันชื่นชอบคนที่เก่งการต่อสู้มาตั้งเด็กแล้ว นี่เป็นผู้หญิงอีกยิ่งเจ๋งไปใหญ่เลย”
เวินหนิง: “………”
เฉียวอวี่มองดูมือที่ยื่นมาหาด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่สนใจ ก่อนจะหันไปคอยระวังรอบๆต่อ
เย่ซือเยวี่ยยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะดึงมือกลับโดยไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร บอดี้การ์ดน่ะ เย็นชาหน่อยเป็นเรื่องปกติ เข้าใจได้ เข้าใจได้
เวินหนิงส่ายหน้า: “พอแล้ว เลิกเล่นได้แล้ว ว่าแต่นัดฉันออกมามีอะไร? ในสายพูดเหมือนร้อนรนใจจะขาด”
ผู้หญิงที่โทรฯมาร้องขอความช่วยเหลือเมื่อกี้ ตอนนี้กลับดูเหมือนไม่มีอะไร: “ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันเช่าแฟนหนุ่มจากทางเน็ตมาคนหนึ่ง แค่อยากให้เธอมาดูเป็นเพื่อนหน่อย”
ห๊า………
“อะไรนะ?” เวินหนิงมองเธอย่างไม่เข้าใจ รู้สึกว่าส่ิงที่เธอพูดนั้นตัวเธอเองเข้าใจทุกคำ แต่พอรวมกันเป็นประโยคแล้ว เธอกลับไม่เข้าใจซะงั้น
แต่หลังจากที่เย่ซือเยวี่ยระบายความคับแค้นใจให้ฟังแล้ว เธอจึงเข้าใจ
ที่แท้ก็เพราะว่าพ่อแม่ของเย่ซือเยวี่ยเห็นว่าเธออายุมากแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะเข้าเลขสาม แต่ยังไม่เคยเห็นเธอมีแฟนจึงเริ่มกังวลใจ และเริ่มจัดการหาคู่ให้เธอ
เย่ซือเยวี่ยเบื่อจนไม่รู้จะเบื่อยังไง จึงคิดวิธีแปลกประหลาดแบบนี้ขึ้นมา
ยุคสมัยนี้ ในโลกออนไลน์อะไรก็มี เช่าแฟนหนุ่มคนหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ดูอินเทรนด์ด้วยซ้ำ เย่ซือเยวี่ยก็เลยเสียตางค์เช่ามาคนหนึ่ง
โดยจ่ายค่ามัดจำทางเน็ตก่อนส่วนหนึ่ง พอเจอหน้ากันแล้วไม่มีปัญหาอะไรแล้วพากันไปพบผู้ใหญ่เสร็จ ก็ค่อยจ่ายส่วนที่เหลือทั้งหมด เวินหนิงฟังแล้วรู้สึกได้เปิดหูเปิดตา
“ฉันจะบอกให้ แฟนหนุ่มที่ฉันเช่ามาเนี่ยรูปร่างหน้าตาดีมาก เทียบกับดาราหนุ่มๆในวงการบันเทิงได้เลย เดี๋ยวฉันให้ดูรูป”
เย่ซือเยวี่ยพูดด้วยท่าทางตื่นเต้น ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้
เวินหนิงปรายตามองอย่างไม่สนใจมากนัก เธอย่นคิ้วเล็กน้อย ดูจากรูปแล้วหน้าตาก็ใช่ได้ เทียบกับดาราได้เลย
“เช่าแฟนหนุ่มไปเจอพ่อแม่แบบนี้มันจะดีเหรอ?”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ถึงฉันไปดูตัวตามที่พ่อกับแม่บอก มันก็ไม่จบหรอก เสียเวลาแล้วยังต้องมาเสียอารมณ์อีก แต่ถ้าฉันเช่าแฟนหนุ่มคนหนึ่งไปเจอพ่อกับแม่เสร็จ พวกท่านก็จะได้สบายใจ และไม่ต้องมาบ่นฉันทุกวันด้วย ดีกับทุกฝ่าย”
เวินหนิง:”………”
ไม่นาน แฟนหนุ่งที่เย่ซือเยวี่ยเช่าก็มาถึง ชื่อเขาก็ฟังดูมีความหมายดี เรียกว่าเซียวเป่า
เย่ซือเยวี่ยโบกมือให้ เขาเห็นแล้วก็เดินเข้ามาหาทันที
เห็นแวบแรกก็ให้ความรู้สึกเป็นประกายจริง คุณเซียวคนนี้รูปร่างสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร ถือว่าไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ถือว่าเตี้ย รูปร่างโปร่งบาง
ท่อนล่างสวมใส่กางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ ท่อนบนสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อกันลมสีน้ำตาล ใบหน้าเข้ารูปดูอ่อนเยาว์เหมือนนักศึกษา
ตอนเขาเดินเข้ามา สาวๆในร้านกาแฟต่างพากันมองไปทางเขา เห็นแบบนั้นแล้ว เย่ซือเยวี่ยดูภูมิใจเป็นอย่างมาก
“ดูซิ ถึงจะแพงไปหน่อย แต่ก็คุ้มมากนะ”
เวินหนิง: “……..”
เธอไม่รู้จะพูดอะไร เซียวเป่าคนนี้รูปร่างหน้าตาดูดี แต่ไม่เข้าใจทำไมถึงได้หาเงินโดยการให้เช่าเป็นแฟนทางเน็ตแบบนี้
เซียวเป่าเดินเข้ามานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพวกเธอ ดวงตาสดใสกวาดมองพวกเธอทั้งสามแวบหนึ่ง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่เย่ซือเยวี่ย แล้วพยักหน้าให้
“คุณคือคุณเย่ใช่มั้ย หวัดดี ผมคือเซียวเป่า”
“คุณเซียว ยินดีๆ นีคือเพื่อนสนิทของฉันเวินหนิง ส่วนคนนี้…….เออ เรียกเธอว่าคุณเฉียวก็ได้”
เซียวเป่าพยักหน้ารับ โดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร
เห็นแบบนั้นแล้ว เวินหนิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกแปลกใจ แต่เย่ซือเยวี่ยดูจะพอใจมาก รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนใช้ได้ อย่าหาว่าเธอหลงตัวเองเลย เพราะถ้าเธอกับเวินหนิงเดินด้วยกันบนถนนละก็ ร้อยทั้งร้อยคนเหลียวมองกันเป็นแถว
แต่คุณเซียวคนนี้กลับดูนิ่งเฉยมาก ไม่ว่ายังไง อาการนิ่งเฉยแบบนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกดี
ในขณะที่เธอกำลังจะพูดต่อ ก็ต้องหยุดชะงักไปทันที
เมื่อเห็นว่าเซียวเป่าที่อยู่ตรงข้ามหยิบกระจกและ…..แป้งพับ? ออกมาจากกระเป๋าหนังสีดำ
ก่อนจะส่องกระจกและเริ่มแตะแป้งลงบนใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ ท่าทางดูช่ำชอง ไม่เหมือนมือใหม่
เวินหนิงเองก็มองดูตาค้าง
“คือ คุณเซียว นี่คุณกำลัง…….แต่งหน้า?”
เย่ซือเยวี่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ขณะเดียวกันก็จ้องมองผิวพรรณที่ไร้จุดด่างดำของเขาไปด้วย ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างอดไม่ได้
ตามคำกล่าวที่ว่า แค่ผิวขาวก็ดูสวยไปกว่าครึ่ง เมื่อครู่เธอยังพูดอยู่เลยว่าผู้ชายคนนี้ผิวพรรณดีมาก แต่นั้นเป็นเพราะเธอเห็นว่าเขาเป็นผู้ชาย เธอจึงไม่ทันได้คิดถึงเรื่องการทาแป้ง ตอนนี้ดูท่าจะเป็นเพราะทาแป้งมากกว่าละ
เซียวเป่าปรายตามองเธอนิดหนึ่ง: “คุณเย่ไม่แต่งหน้าเหรอ?”
เย่ซือเยวี่ยอึ้งไปเล็กน้อย: “ฉัน แต่งนิดหน่อย” เธอแต่งหน้าเล็กน้อยก่อนออกจากบ้าน ยังไงแล้วเธอก็เป็นผู้หญิง ก่อนออกจากบ้านก็ต้องมีแต่งหน้ากันบ้าง ก็เป็นเรื่องปกตินี่นา
“งั้นก็เหมือนกัน ไม่เห็นมีอะไรน่าตกอกตกใจเลย” เซียวเป่าไหวไหล่เล็กน้อย ก่อนจะมองบนใส่เธอ
เย่ซือเยวี่ย: “………….”
เวินหนิง: “…………..”
เย่ซือเยวี่ยรู้สึกทันใดว่าตัวเองซวยละ เธอหายใจเข้าลึกๆ ความประทับใจแรกที่มีต่อเซียวเป่าหายวับไปครึ่งหนึ่งทันที