พอได้ยินคำพูดที่ขัดหูของตี้น่า สีหน้าเวินหนิงก็ย่ำแย่ไปกว่าเดิม
เธอเพิ่งรู้ว่า คนคนหนึ่งหน้าด้านได้ขนาดนี้
ใส่ร้ายคนอื่นไม่สำเร็จแต่กลับมาโวยวาย?
“ตี้น่า เรื่องทั้งหมดเธอเป็นคนทำเอง เธอเป็นแบบนี้ก็รนหาที่เอง นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอจะมาอาละวาด”
พูดจบ เวินหนิงก็ให้ยามมาลากตัวตี้น่าออกไป
ลู่จิ้นยวนกลับมาจากลานจอดรถ เลยเห็นภาพเหตุการณ์นี้
“เกิดอะไรขึ้น?”
เวินหนิงส่ายหน้า รู้สึกซวยเลยไม่อยากพูดถึง
ลู่จิ้นยวนจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น มองไปที่สีหน้าบิดเบี้ยวย่ำแย่ของตี้น่า
แผนของตระกูลฮอร์ตัน เขาจะมองไม่ออกได้ยังไง
แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่มีเวลาไปจัดการพวกเขา ไม่คิดเลยว่าจะมีหน้ามาหาเรื่องอีก
ดูเหมือนว่า คงให้เวลาพวกเขาหายใจไม่ได้แล้วล่ะ
“ไปติดต่อตระกูลฮอร์ตัน บอกพวกเขาว่าเรื่องการลอกเลียนแบบครั้ง ทำให้ภาพลักษณ์เสื่อมเสีย เราจะยุติการร่วมงานกับพวกเขา พร้อมกับฟ้องร้องจะเอาค่าเสียหาย”
อันเฉินได้ยินก็รีบไปจัดการทันที ทนายความเก่งๆในบริษัทตระกูลลู่ก็นั่งไม่เป็นสุขแล้ว
ตอนนั้นที่ร่วมงานกับตระกูลฮอร์ตัน เพื่อแสดงความจริงใจ มูลค่าค่าปรับสัญญาเลยมหาศาล ถ้าชนะการฟ้องร้อง เงินก้อนนั้นน่าดึงดูดมาก โบนัสปลายปีต้องก้อนโตแน่ๆ
“ทำแบบนี้ ได้จริงเหรอ?”
เวินหนิงเห็นลู่จิ้นยวนตัดสินใจเด็ดขาด เลยรู้สึกตกใจ
“ในเมื่อพวกเขากล้าก่อเรื่อง ก็ต้องรับผลลัพธ์ให้ได้”
กล้ามาลงมือกับผู้หญิงของเขา แล้วเอาแค่หมากไม่สำคัญมาแลก คิดว่าจะถอนตัวได้เหรอ?
ฝันไปเถอะ
เวินหนิงเห็นว่าเขามั่นใจ เลยเข้าใจทันที
ไม่พูดไม่ได้เลยว่า ลู่จิ้นยวนในสถานการณ์แบบนี้ พึ่งพาได้จริงๆ
“กี่วันนี้ ฉันจะรับส่งเธอเอง”
ลู่จิ้นยวนขับรถแล้วขมวดคิ้ว
“หื้อ? ทำไมเหรอ?”
“ตี้น่านั่น ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าหาคนมาแก้แค้น เธอเป็นผู้หญิง คงรับมือไม่ได้”
เวินหนิงพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ “แล้วที่แม่ฉัน……”
“จะเสริมคนดูแล ไว้ใจเถอะ”
ลู่จิ้นยวนสั่งให้เพิ่มบอดี้การ์ดไปดูแลแม่เวินหนิง
ระหว่างทางทั้งสองไม่พูดอะไรกันอีก
ลู่จิ้นยวนส่งเวินหนิงไปโรงพยาบาล ทีแรกอยากไปเยี่ยมไป๋หลินยวี่ด้วย แต่บริษัทมีธุระด่วน เลยต้องไปก่อน
เวินหนิงขึ้นไปคนเดียวที่ห้องพักฟื้นวีไอพี ไป๋หลินยวี่กำลังฉีดยา เธอเลยรีบเดินไปหา “แม่คะ หนูมาแล้วค่ะ วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ?”
กี่วันนี้เวินหนิงติดธุระ เลยไม่ได้มาเยี่ยมไป๋หลินยวี่ ในใจรู้สึกผิดมาก
“ไม่เป็นอะไร แม่สบายดี เรื่องของหนูเป็นยังไงบ้าง?”
“หนูลาออกแล้วค่ะ กี่วันนี้จะลองไปที่เวินกรุ๊ป นี่เป็นหยาดเหงื่อของแม่ หนูรู้สึกว่าไม่ควรขาย”
“ผ่านเรื่องอะไรมาเยอะแยะ หยาดเหงื่ออะไรกัน ขอแค่เราไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว หนิงหนิง ถ้าหนูไม่อยากดูแลบริษัท ก็บอกแม่ ถึงหนูจะขายบริษัท แม่ก็จะไม่โทษหนู”
เวินหนิงยิ้ม “อะไรกันคะ แม่ไม่เชื่อความสามารถหนูหรอคะ? หนูจะพยายามเรียนรู้เรื่องการบริหารเอง ”
ไป๋หลินยวี่เห็นว่าเธอยืนยัน เลยไม่พูดอีก แต่กลับนึกถึงเรื่องที่พูดกี่วันก่อน “ที่เห่อจื่ออัน ติดต่อได้หรือยัง?”
พอพูดถึงเห่อจื่ออัน เวินหนิงก็เศร้า วันนั้นโจวหรานบอกว่าติดต่อเขาได้แล้ว แต่เขาไม่ได้ตอบข้อความเธอ
อาจจะเพราะงานยุ่งเกินไป อาจจะเป็นเพราะเขามีชีวิตใหม่แล้ว
เวินหนิงไม่ได้ไปหาเขาอีก ในเมื่อเขาไม่อยากติดต่อตัวเอง งั้นอีกหน่อยรอมีโอกาสแล้วค่อยเจอกันแล้วกัน
“หนูส่งข้อความไปบอกเขาแล้วค่ะว่าหนูไม่เป็นอะไร”
“ไป๋หลินยวี่พยักหน้า เข้าใจว่าเห่อจื่ออันยังไม่กลับมา เลยกังวลใจ
เพราะยังไง ท่านรู้สึกว่าคนที่เหมาะกับลูกสาวตัวเองคือเห่อจื่ออัน
แต่ เรื่องแบบนี้ ก็ต้องพึ่งโชคชะตา
เสียดายที่ร่างกายท่านยังไม่หายดี ไม่งั้นต้องไปหาคนที่เหมาะสมให้แน่นอน
เพราะลูกสาวตัวเองอายุก็ไม่เด็กแล้ว จะปล่อยต่อไปก็ไม่ได้
ตอนที่แม่ลูกกำลังคุยกัน พยาบาลก็มาวัดอุณหภูมิให้ไป๋หลินยวี่
“คุณหนูเวินคะ คุณหมอมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ”
พยาบาลเอ่ยพูดกับเวินหนิงขณะวัดอุณหภูมิ
“งั้นหนูไปก่อนนะคะ”
เวินหนิงไม่รอช้า รีบไปหาคุณหมอทันที
พอคุณหมอเห็นเธอมา สีหน้าก็เข้มงวด มีลางสังหรณ์อะไรบางอย่างที่ไม่ดี
พอเวินหนิงเห็น จึงรู้สึกกังวล “คุณหมอ เป็นยังไงบ้างคะ?”
“คืออย่างนี้ครับ ถ้าหาไขสันหลังไม่ได้ ก็ต้องทำคีโม แต่ปัญหาคือ ร่างกายคุณแม่คุณอ่อนแออยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ จะหนักไปกว่าเดิม ถึงรักษาหาย แต่ร่างกายคงรับไม่ไหว”
เวินหนองได้ยินแบบนี้ ก็ตกใจจนหน้าซีดขาว “งั้น นอกจากไขสันหลังของญาติ มีโอกาสเท่าไหร่ที่จะหาได้คะ?”
ตอนนี้ เธอโกรธที่ไขสันหลังของตัวเองใช้กับคุณแม่ไม่ได้ ไม่งั้น คงไม่ต้องลำบากขนาดนี้
“โอกาสเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร น้อยมากครับ ถ้าไม่ได้จริงๆ คุณลองไปถามญาติคนอื่น ลองมาตรวจดูครับ เผื่ออาจจะมีโอกาสสำเร็จ”
เวินหนิงพยักหน้า เดินออกมาอย่างไร้วิญญาณ
ญาติ? ไป๋หลินยวี่เป็นลูกคนเดียว ตายายเธอก็เสียไปตั้งนานแล้ว จะหาญาติที่ไหนอีก?
ทางเดียวที่ทำได้ ต้องสืบเรื่องตอนนั้นให้กระจ่าง
เวินหนิงถอนหายใจ เธอเอาแต่หนีเรื่องอดีต แต่ความจริงตรงหน้า ทำให้เธอหนีไม่ได้อีก แค่สืบให้ได้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ถึงจะมีโอกาสรอด
คิดได้แบบนี้ เวินหนิงก็เดินกลับไปที่ห้องพักฟื้น แต่ไม่อยากให้ไป๋หลินยวี่เสียใจ เธอเลยแกล้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไมเหรอหนิงหนิง? ร่างกายของแม่ ยังอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”
“อย่าคิดมากเลยค่ะ หมอบอกว่าถ้าแม่ให้ความร่วมมือ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้การแพทย์พัฒนาขนาดนี้ โรคอะไรก็รักษาหายได้”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดี เพราะแม่ยังไม่เห็นเราเป็นฝั่งเป็นฝาเลย ถ้าตายแบบนี้ แม่คงตายตาไม่หลับ”
คำพูดของไป๋หลินยวี่ ทำให้เวินหนิงรู้สึกแสบจมูก นี่คงเป็นเพราะคำว่าแม่ ถึงตัวเองจะทุกข์ทรมานแค่ไหน ก็จะคิดถึงความสุขของลูก
เธอโชคดีแค่ไหน ที่มีแม่ที่รักที่เป็นห่วงตัวเองขนาดนี้
ถึงแม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ความรู้สึกนั้นก็เป็นเรื่องจริง
“ไว้ใจเถอะค่ะ ต้องรักษาหายแน่นอน”
เวินหนิงพูดปลอบใจ จากนั้นก็แกล้งถาม “แม่คะ แม่ยังจำได้ไหมคะว่าตอนนั้นหนูเกิดที่โรงพยาบาลไหน?”