“ทำไมอยู่ๆหนูถึงถามล่ะ?”
“ไม่……ไม่มีอะไรค่ะ แค่นึกได้เลยถามค่ะ ช่วงนี้หนูจะไปดูดวง เดี๋ยวเขาน่าจะถาม”
ไป๋หลินยวี่ไม่ได้คิดอะไรมาก ขมวดคิ้วแล้วนึกย้อน “น่าจะเป็นโรงพยาบาลเมืองเจียงเฉิง ตอนนั้นบ้านเราจน พ่อเราเลยส่งแม่ไปที่นั้น”
เวินหนิงพยักหน้า จำสถานที่ไว้
ต่อไป คงต้องเริ่มสืบจากโรงพยาบาลนี้แล้วล่ะ
พูดคุยกับไป๋หลินยวี่ไปอีกสักพัก พอเห็นว่าท่านเริ่มเหนื่อย เวินหนิงก็ไม่ชวนคุยอะไรอีก รอท่านหลับค่อยออกจากห้อง
คิดไปคิดมา ไม่อยากรอช้า เวินหนิงเลยตัดสินใจจะไปโรงพยาบาลนั่น ประวัติตอนนั้นอาจจะเก็บไว้ อาจจะเจอเบาะแสอะไรก็ได้
……
ลู่จิ้นยวนให้อันเฉินจัดการเรื่องการรักษาของโรซินานเต้ บางส่วนเพราะเขารู้เรื่องมากกว่า บางส่วน อาจจะเป็นเพราะกี่วันนี้ที่เจอกัน โรซินานเต้ไม่ได้ต่อต้านเขา
อันเฉินรับคำสั่งมาอย่างไม่คิดมาก เพราะเคยจัดการปัญหายากๆกับลู่จิ้นยวยมากเยอะ แค่ดูแลเด็กผู้หญิงออทิสติกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เพราะฉะนั้น ก็เลยพาเธอไปพบจิตแพทย์ที่นัดไว้แล้ว
พอส่งตัวเข้าไป อันเฉินก็ออกมา แล้วรออยู่ข้างนอกตามหน้าที่ ตอนกำลังเบื่อๆ กลับเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
เย่ซือเยวี่ยมาถามอาการคุณแม่ที่เอาแต่ตื้อให้เธอแต่งงาน มาถามว่าเป็นเพราะอายุเยอะเลยคิดมากหรือเปล่า สุดท้ายเลยเจออันเฉิน
“ทำไมนายอยู่ที่นี่? สุขภาพจิตมีปัญหา?”
พอเย่ซือเยวี่ยเห็นอันเฉิน ก็เริ่มพูดแซะฝ่ายตรงข้ามทันที
“เปล่า แต่เธอต่างหาก มาที่นี่ทำไม?”
พออันเฉินเจอเย่ซือเยวี่ย ก็เริ่มหงุดหงิด ผู้หญิงคนนี้ เจอกันบ่อยมาก พอเจอกันก็จะแซะ เขาจะหลบยังไงก็ไม่ทัน
“เกี่ยวอะไรกับนาย?”
เย่ซือเยวี่ยมองบนใส่อันเฉิน
“งั้นเธอก็ควรมาตรวจดูว่า เข้าสู่วันชราก่อนกำหนด ฮอร์โมนผิดปกติหรือเปล่าถึงเป็นแบบนี้ เอาแต่แซะคนอื่นเนี่ย”
“นาย!”
เย่ซือเยวี่ยกำลังจะพูดอะไร โรซินานเต้ก็เดินออกมาจากข้างใน เธอจบการรักษาของวันนี้แล้ว
เธอมองไปรอบๆ ทั่วโรงพยาบาลรู้จักแค่อันเฉิน เลยรีบวิ่งไปหลบหลังเขาทันที
อันเฉินได้รับคำสั่งว่าต้องดูแลเธอดีๆ แล้วต้องดูแลสุขภาพจิตใจเธอด้วย ก็เลยเอ่ยปลอบ “เป็นอะไรครับ? ทุกอย่างราบรื่นไหมครับ?”
เย่ซือเยวี่ยได้ยินอันเฉินพูดภาษาฝรั่งเศส เธอฟังไม่รู้เรื่อง แต่เสียงนั่นอ่อนโนมาก อย่างน้อย ก็อ่อนโยนกว่าคำพูดเสียดสีที่พูดกับเธอ……
วินาทีนั้น ความโมโหก็ปะทุออกมา
“แสแสร้งทำเป็นอ่อนโยน มาหลอกเด็กผู้หญิงงั้นเหรอ? ผู้ชายสารเลว!”
เย่ซือเยวี่ยไม่ใช่คนที่ชอบเก็บอารมณ์ เห็นแบบนั้นก็พูดพรวดออกมาทันที
โรซินานเต้มองไปที่เธอ รู้สึกว่าไม่อยากยุ่งกับผู้หญิงคนนี้ เลยหลบข้างหลัง
อันเฉินขมวดคิ้ว “ถ้ามีอะไร อย่าทำให้คนอื่นตกใจ เธอมาพูดใส่ฉันนี่”
คำว่ามาพูดใส่ฉันนี่……ดีมาก
เมื่อกี้เย่ซือเยวี่ยคิดแล้วว่าจะแซะเขายังไง แต่ตอนนี้กลับพูดไม่ออก
มองเห็นอันเฉินยืนปกป้องเด็กผู้หญิงต่างชาติข้างหน้า เธอรู้สึกไม่ว่าจะพูดอะไรก็เสียดสีตัวเอง
แต่เสียดสียังไง เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ช่างเถอะ ขี้เกียจคุยกับนาย”
หักห้ามความแปลกใจไว้ เย่ซือเยวี่ยก็เดินไปไม่หันกลับมาเลย
อันเฉินเห็นเธอเดินไปแบบนั้นก็รู้สึกแปลกใจ คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะตอแยไม่เลิก
แต่ว่า สีหน้าที่เศร้าหมองของเธอเมื่อกี้ กลับทำให้ใจเขาอยู่ไม่เป็นสุข……
แต่ พอนึกถึงว่าแต่ก่อนเย่ซือเยวี่ยเคยทำอะไรเขา อันเฉินก็ตัดความรู้สึกแบบนี้ออก แล้วพาโรซินานเต้ไปจากที่นี่
“คุณกับเธอ เป็นแฟนกัน?”
โรซินานเต้เอากระดาษมาเขียน
ถึงแม้ตอนนี้เธอยังพูดไม่ออก แต่ก็สื่อสารผ่านกระดาษได้
พออันเฉินเห็นก็รีบส่ายหัวทันที “ผู้หญิงที่ป่าเถื่อนขนาดนั้น จะเป็นแฟนผมได้ยังไง?”
โรซินานเต้พยักหน้า กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
……
วันต่อมา
เวินหนิงตื่นแต่เช้า กำลังจะไปหาเบาะแสที่โรงพยาบาล เย่ซือเยวี่ยก็โทรมาพอดี
“เวินหนิง วันนี้แกว่างหรือเปล่า?”
“วันนี้ฉันมีธุระ มีอะไรหรือเปล่า?”
ขอบตาเย่ซือเยวี่ยดำมาก ดูหมดเรี่ยวหมดแรง
เธอไม่บอกหรอก เมื่อวานเห็นท่าทางอันเฉินสนิทสนมกับผู้หญิงต่างชาติคนนั้น เลยทำให้เธอนอนไม่หลับทั้งคืน
รู้สึกไม่อยากเชื่อเลย
เพราะฉะนั้น เธอเลยโทรหาเวินหนิงตั้งแต่เช้า อยากจะถามว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่?
อันเฉินคงไม่ชอบกินหญ้าอ่อนหรอกมั้ง?
เด็กผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนแค่สิบสี่สิบห้า เขาทำแบบนี้มันผิดกฎหมาย
แต่ว่า พอได้ยินเวินหนิงพูดว่ามีธุระ เลยทำให้เย่ซือเยวี่ยสงสัย
“ธุระอะไร? แกลาออกแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังยุ่งขนาดนี้อีก?”
“อื้อ มีเรื่องแต่ก่อนที่ต้องไปสืบนิดหน่อย”
เย่ซือเยวี่ยคิดไปคิดมา เธออยู่บ้านก็น่าเบื่อ “งั้นเดี๋ยวฉันไปกับแก สองหัวยังไงก็ดีกว่า”
เวินหนิงเงียบไปสักพัก เลยตอบตกลง
ถึงแม้เย่ซือเยวี่ยจะซุ่มซ่าม แต่ก็ดีกับเพื่อนมาก แต่สมองเธอก็กระตือรือร้น บางครั้งอาจจะนึกอะไรที่ตัวเองคิดไม่ถึงก็ได้
ทั้งสองนัดกันแล้ว เย่ซือเยวี่ยจะขับรถมารับเวินหนิง แล้วไปที่โรงพยาบาลพร้อมกัน
เวินหนิงรอไปไม่นาน เย่ซือเยวี่ยก็มาถึง
“มีเรื่องอะไรที่ต้องไปสืบที่โรงพยาบาล?”
เวินหนิงเล่าเรื่องทั้งหมด กับเธอ ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“นี่……”
“บทในละครชัดๆ แต่ ตอนนี้ต้องรีบหาคนที่เกิดวันเดียวกับแก หรือว่าเวลาใกล้ๆกัน แบบนี้ง่ายกว่างมเข็มในมหาสมุทร”
เย่ซือเยวี่ยออกความคิดเห็น เวินหนิงพยักหน้า เธอก็คิดคล้ายๆกัน
ทั้งสองปรึกษากันบนรถ ไม่นานก็ไปถึงจุดหมาย
ตอนนั้นเมืองเจียงเฉิงยังเป็นเมืองเล็ก แต่มีตระกูลใหญ่ๆมาพัฒนา เลยทำให้รุ่งเรืองขึ้น แล้วโรงพยาบาลก็ถูกซ่อมแซม ตอนนี้ดูดีมาก
เวินหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ กำลังบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ จากนั้นก็เดินเข้าไป
ทั้งสองหาคนที่ดูแลเอกสารเจออย่างรวดเร็ว พอเห้นคนแปลกหน้า เจ้าหน้าที่ก็เอ่ยอย่างเยือกเย็น “พวกคุณจะทำอะไร?”