เวินหนิงตกอยู่ในความตื่นตระหนกไปกับการกระทำอันฉับพลันนี้ของเหอจื่ออัน เมื่อได้สติก็คิดที่จะผลักเขาออก
แต่ว่า เธอยังไม่ทันได้ลงมือขยับตัวเหอจื่ออันก็คลายตัวเธอออกไปแล้ว
“ขอโทษ ฉันเผลอตัวไปหน่อย หลายปีมานี้อยู่ต่างประเทศมานาน ฉันอาจจะชินกับวัฒนธรรมของทางฝั่งนั้นแล้วก็ได้”
เหอจื่ออันพูดอธิบาย เวินหนิงเองก็ไม่ได้คิดที่จะถามซักไซ้อะไรต่อ
ในเมื่อเขาก็แค่โอบกอดเธอในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง อีกทั้งเหอจื่ออันเองก็อยู่ต่างประเทศ อาจจะสับสนไปในชั่วขณะหนึ่ง และก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร
“ไม่…….ไม่เป็นไร……..”
เวินหนิงพูดออกมา แต่ตัวของเธอนั้นกลับรู้สึกสับสนและทำท่าทางไม่ถูกออกมา ขณะที่กำลังจะบอกลา ลู่จิ้นยวนกลับพาลู่อันหรานมุ่งตรงมาทางนี้อย่างอาฆาตมาดร้าย
เมื่อสักครู่ พวกเขาอยู่ที่ทางม้าลายอีกด้านหนึ่ง และเหอจื่ออันก็พุ่งเข้าไปสวมกอดในทันทีอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว จึงทำให้มาห้ามไม่ทันการ
“แกทำอะไร?”
ลู่จิ้นยวนดึงเวินหนิงให้มาอยู่ที่ด้านหลังของตนเองด้วยสีหน้าระแวดระวัง
ในใจของเหอจื่ออันคิดที่จะทำอะไรนั้น คนอื่นอาจไม่มีใครทราบได้ แล้วตัวเขาล่ะจะไม่รู้อย่างนั้นเหรอ?
คนคนนี้ อันตรายเป็นอย่างมาก
“เพื่อนกัน แค่กอดกันก็แค่นั้นเอง”
เหอจื่ออันเห็นท่าทีที่โกรธขึ้งของลู่จิ้นยวน มุมปากก็ยกขึ้นยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก ยักไหล่ทั้งสองข้างขึ้นสื่อว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น
ในเมื่อเขายิ่งทำเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นการทำให้ลู่จิ้นยวนสุมเชื้อไฟเข้าไปในอกเพิ่มมากขึ้น
“เพื่อนงั้นเหรอ?
เจตนาของแก อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่รู้”
ลู่จิ้นยวนเพ่งเขม็งไปที่ฝ่ายตรงข้าม สบเข้ากับดวงตาของเหอจื่ออันอย่างไม่มีความรู้สึกอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย
“พอแล้ว พอแล้ว จื่ออันเพียงก็แค่ใช้วิธีทักทายตามวัฒนธรรมต่าวชาติเท่านั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้หรอก”
เวินหนิงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศมาคุอันหนักอึ้งระหว่างผู้ชายสองคนนี้ จึงรีบออกปากเอ่ยชักจูงทั้งสองฝ่ายให้จบเรื่อง
“จื่ออัน นายกลับไปก่อนเถอะ”
กังวลว่าถ้าให้ผู้ชายสองคนนี้จ้องตากันเขม็งแบบนี้ต่อไป พวกเขาอาจจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้ เวินหนิงจึงเอ่ยปากขึ้นมาให้เหอจื่ออันจากไปก่อนเสีย
เหอจื่ออันแม้ว่าจะไม่อยากทิ้งให้เวินหนิงอยู่ด้วยกันกับลู่จิ้นยวน แต่ตัวเขาก็เข้าใจดี เรื่องแบบนี้จะรีบร้อนไม่ได้ อีกทั้งในเมื่อไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้อะไรวุ่นวายอีก
เพียงทว่าก่อนที่จะจากไปนั้น เห็นลู่อันหรานที่ยืนอยู่ข้างๆ ลู่จิ้นยวน เขาจึงเดินเข้าไปทักทายเด็กคนนี้
คิ้วกับตาช่างดูคล้ายกับเวินหนิง ไม่ได้ให้ความรู้สึกคล้ายกับลู่จิ้นยวนเหมือนตอนที่มองดูจากที่ไกลๆ เขายิ้มออกมา แล้วบีบแก้มของลู่อันหราน “นายคืออันหรานใช่ไหม เดี๋ยวไว้มีโอกาสค่อยเจอกันใหม่ แล้วเรามาทำความรู้จักกันนะ”
เมื่อสักครู่ลู่อันหรานไม่ได้ระวังตัวอยู่ เมื่อถูกคนแปลกหน้ามาบีบหน้าก็ทำให้รู้สึกไม่ดี จ้องผู้ชายตรงหน้าเขม็งราวกับแมวที่ถูกเผาหนวดอย่างไรอย่างนั้น “คุณเป็นใครกัน?
ผมไม่อยากเจอกับคุณสักหน่อย”
“อันหราน ไม่เสียมารยาทสิ นี่คือคุณลุงเหอ เป็นเพื่อนสนิทของคุณแม่”
เมื่อเวินหนิงได้ยินดังว่าก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย จึงรีบกล่าวสั่งสอนไปในทันที
ในเมื่อลู่อันหรานสามารถเติบใหญ่มาได้อย่างแข็งแรงขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแรงช่วยเหลือของเหอจื่ออันด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเธอไม่ยินยอมให้เจ้าตัวน้อยคนนี้พูดจาด้วยถ้อยคำร้ายๆ ใส่เหอจื่ออัน
“……….” ได้ยินเวินหนิงที่มักจะเอ่ยตามใจเขาพูดดังกล่าว ลู่อันหรานก็รู้สึกราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรมขึ้นมาในทันที
เมื่อก่อนเวินหนิงไม่เคยใช้คำพูดโหดร้ายแบบนี้กับเขามาก่อนเลย
หรือว่า ในใจของแม่ตำแหน่งของผู้ชายคนนี้จะอยู่เหนือสูงกว่าเขากันนะ?
ลู่อันหรานต่อให้ตามปกติจะดูโตกว่าวัยถึงขนาดไหน แต่ในเมื่อก็ยังเป็นแค่เด็กตัวน้อยๆ คนหนึ่ง พอรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ไม่คิดถึงอะไรทั้งสิ้น แล้วจึงวิ่งหนีไปเลยในทันที
เวินหนิงเห็นดังว่าก็ไม่มีทางเลือกอื่น หันไปขอโทษของเหอจื่ออันหนึ่งทีแล้วจึงรีบวิ่งตามไป
เมื่อเห็นว่าลู่อันหรานวิ่งหนีไป และเวินหนิงก็กำลังตามไป ลู่จิ้นยวนจึงไม่ได้ร้อนใจอะไรนัก และกลับหันไปมองเหอจื่ออันด้วยสายตาที่เย็นเยียบ “นายกลับมาที่นี่ คิดจะทำอะไรกันแน่”
“ฉันคิดจะทำอะไร ไม่ใช่ว่านายจะเป็นคนที่น่าจะรู้ชัดมากที่สุดหรอกเหรอ”
เหอจื่ออันวาดรอยยิ้มบางๆ
เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นที่อยู่ในสายตาของลู่จิ้นยวนแล้ว ดูอย่างไรก็ช่างน่าพุ่งเข้าไปอัดเสียจริง
“นายอย่าแม้แต่จะคิดที่จะทำร้ายเธอเด็ดขาด”
เหอจื่ออันได้ยินคำดังว่าก็ยิ้มออกมาจริงๆ
เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ ทีละก้าวๆ หลังจากนั้น ก็เปิดปากพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ “สุดท้ายแล้วใครกันล่ะที่เป็นคนทำร้ายเธอ?
เรื่องเมื่อก่อนหน้านี้ จะให้ฉันช่วยรื้อฟื้นขึ้นมาให้นายหน่อยไหมล่ะ? ”
ลู่จิ้นยวนที่คิดจะเปิดปากพูดอะไรออกไป ก็กลับกลายเป็นพูดไม่ออกขึ้นมาแทน
เหอจื่ออันดูท่าทีลิ้นจุกปากของเขา ก็ตบบ่าลู่จิ้นยวนราวกับสนิทสนม “เพื่อความสุขของเวินหนิงในอนาคต ฉันคิดว่านายถอยห่างจากเธอไปให้ไกลหน่อยจะดีกว่านะ เธอคงจะปลอดภัยมากขึ้น”
กล่าวจบ เหอจื่ออันก็ไม่คิดที่จะอยู่สานสัมพันธ์ต่อ ขึ้นรถแล้วจากไปในทันที
ลู่จิ้นยวนมองดูเงาของรถที่แล่นจากไปด้วยความเร็วสูง จากนั้นก็ชกหมัดลงไปที่เสาไฟที่อยู่ด้านข้าง
ไอ้เหอจื่ออัน………..!
………
เวินหนิงตามลู่อันหรานมาได้สักพักก็ตามจับตัวเขาได้แล้ว
ในเมื่อลู่อันหรานก็เป็นเพียงแค่เด็กห้าขวบเท่านั้น ต่อให้ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่ทุกวัน แต่ขาน้อยๆ นั้นก็วิ่งได้ไม่เร็วเท่าไหร่นัก
“อันหราน อย่าดื้อสิ”
เวินหนิงสวมกอดลู่อันหรานที่ยังคงดิ้นขัดขืนไปมา
“ผมไม่ได้ดื้อนะ แล้วในเมื่อแม่สนใจคุณลุงอะไรนั่นมากกว่า แล้วจะตามผมมาทำไม”
ทันทีที่ลู่อันหรานเปิดปากพูด น้ำเสียงที่ใช้ก็แย่มากเลยทีเดียว
เวินหนิงฟังจนจบก็อยู่ในสถานะที่จะร้องไห้ก็ไม่ได้ จะหัวเราะก็ไม่ออก
“อันหราน ลูกอย่าพูดจาเลอะเทอะอะไรแบบนี้สิ คุณลุงเหอช่วยแม่เอาไว้มาก ถ้าไม่มีเขา ลูกก็อาจจะไม่มีทางเกิดมาได้อย่างปลอดภัยแบบนี้หรอก แม่ขอให้ลูกมีมารยาทกับเขาหน่อย แล้วมันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะทำเหรอ”
เดิมทีอารมณ์ของลู่อันหรานก็คิดต่อต้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายของเวินหนิง ก็ค่อยๆ สงบใจลงมาทีละน้อยๆ
“งั้นตอนแรก มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันครับ”
เนื่องจากว่าลู่อันหรานถูกคนของตระกูลลู่เลี้ยงดูจนโต สำหรับเรื่องเมื่อปีนั้นที่เย่หวานจิ้งได้กระทำลงไป แน่นอนว่าไม่ได้รู้เรื่องราวเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“เรื่องพวกนั้น ต้องใช้เวลาพูดนานถึงจะเข้าใจได้ แต่ว่า ที่ลูกควรจะรู้ก็คือ คุณลุงเหอไม่ใช่คนไม่ดี ไม่ใช่ศัตรูของลูก เขาเป็นคนที่ดีเอามากๆ คนหนึ่งเลย ไม่มีเขาก็ไม่มีแม่ในวันนี้ ดังนั้น ลูกทำดีกับเขาหน่อย ดีไหม? ”
เวินหนิงครุ่นคิด สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องการกระทำทั้งหมดของเย่หวานจิ้ง
ความแค้นของคนรุ่นก่อน เธอไม่อยากที่จะนำไปผูกเข้ากับเด็กที่ไม่ได้ผิดอะไรด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เย่หวานจิ้งเองก็เป็นคุณย่าของเด็กคนนี้
“งั้น………….ก็ได้”
ลู่อันหรานเห็นท่าทีที่เข้มงวดของเวินหนิง จึงเลิกทำตัวดื้อแล้วพยักหน้าเข้าใจอย่างว่าง่าย
เวินหนิงจึงยิ้มออกมาได้แล้วหอมลงไปบนแก้มของลู่อันหรานหนึ่งที ชูมือข้างที่มีถุงอาหารที่สั่งห่อกลับบ้านให้เขาดู
“ดูสิ แม่สั่งของหวานที่ลูกชอบกินมากที่สุดมาให้ด้วยนะ แบบนี้ยังคิดว่าแม่ไม่สนใจลูกอีกไหม”
ลู่อันหรานเดิมทีก็เป็นเพราะด้วยอารมณ์ของเด็กๆ เมื่อเห็นว่าเวินหนิงซื้อของที่เขาชอบกินมาให้จริงๆ อารมณ์กรุ่นโกรธเมื่อสักครู่ก็คลายลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว “ผมเข้าใจแล้ว ขอโทษครับคุณแม่ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทครับ”
แม้ลู่อันหรานจะยังเล็ก แต่ก็ยังเข้าใจถึงหลักการณ์ที่ว่าทำผิดแล้วก็ต้องยอมรับผิด
เวินหนิงเองก็ไม่ได้ดุโทษเขาอะไรต่ออีก จูงมือของอันหราน “ดี แม่ก็ไม่ได้โทษลูก ตอนนี้พวกเรากลับไปกันเถอะ ไปอุ่นอาหาร ลูกตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม”
ลู่อันหรานได้ยินดังว่าก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าตลอดเที่ยงนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย ท้องก็ร้องขึ้นมาอย่างรู้เวลา พยักหน้าลงด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“งั้นพวกเรารีบกลับไปกันเถอะ”