หลังจากลู่จิ้นยวนนั่งกินข้าวเช้าคนเดียวเสร็จ ก็อยู่ในห้องสักพัก
ถึงแม้ว่าก่อนมาเขาคิดไว้แล้วว่าจะพาเวินหนิงไปเที่ยวด้วยกัน แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองมากลายเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่รู้จะออกปากชวนเธอยังไง
เสียดายทริปท่องเที่ยวที่เขาคาดหวังไว้ ไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ขณะที่เขากำลังเปิดคอมฯเพื่อจะทำงาน ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เป็นสายจากนายท่านหยง
“จิ้นยวน สัญญาเมื่อวานมีบางจุดที่ฉันอยากปรึกษาก่อนเธอก่อน ไม่รู้ว่าเธอพอมีเวลามั้ย?”
ลู่จิ้นยวนเห็นว่าเขายังว่างอยู่และไม่มีอะไรทำ จึงตอบตกลง
แต่พอถึงบ้านตระกูบหยง ก็เห็นเพียงหยงซือเหม่ยที่รอเขาอยู่
ลู่จิ้นยวนเข้าใจในทันที ที่แท้เรื่องสัญญาเป็นเพียงข้ออ้าง ในสถานการณ์แบบนี้สีหน้าของเขาเลยดูไม่ดีนัก
“คุณลู่ เห็นฉันแล้วไม่ต้องทำสีหน้าแบบนั้นก็ได้ค่ะ ฉันก็คุยงานกับคุณได้นะคะ”
หยงซือเหม่ยเห็นชัดว่าเขาไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่สนใจ เธอกลับอ้างเหตุผลบางอย่างเพื่อดึงให้เขาอยู่ต่อ
“……..”
ลู่จิ้นยวนไม่รู้จะพูดอะไร ปรายตามองเธอแวบหนึ่ง:”แล้ว คุณหนูหยงคิดว่าเราจะเริ่มคุยงานกันยังไงครับ?”
“ก็ต้องหาที่เงียบๆค่อยๆคุยกันสิคะ”
หยงซือเหม่ยแน่ใจว่าลู่จิ้นยวนคงไม่ยอมปล่อยสัญญาสำคัญแบบนี้ทิ้งไปง่ายๆโดยสนใจอยู่แล้ว และก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ ถึงแม้ว่าสีหน้าลู่จิ้นยวนจะไม่พอใจนัก แต่เขาก็ยอมตอบตกลง
…….
เพื่อเอาใจลู่อันหราน เวินหนิงจึงตั้งใจเข้าไปหาแหล่งท่องเที่ยวที่น่าไปอีกครั้ง
นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้เคยพาลู่อันหรานไปที่ศูนย์อาหารเขาดูมีความสุขมาก เธอจึงตัดสินใจพาเขาไปที่นี่ก่อน
“อันหราน เดี๋ยวเราไปเดินเล่นกันเสร็จ เราไปทานข้าวที่ร้านอาหารเซียงจิงดีมั้ย?”
อาหารที่นี่อร่อยมาก
ลู่อันหรานยังดูไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ แค่คิดว่าจะมีแค่แม่หรือพ่อเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขา ลู่อันหรานก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
แต่พอเห็นว่าเวินหนิงพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะเอาใจเขา ลู่อันหรานจึงพยักหน้าตอบตกลง
“งั้นลูกรีบไปเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ เดี๋ยวเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแถวนี้ก่อน เสร็จแล้วค่อยไปทานข้าวกันนะครับ”
เวินหนิงลูบหัวลูกเบาๆก่อนจะหาชุดที่ใส่สบายๆให้เขาเปลี่ยน แล้วจูงมือหนุ่มน้อยออกจากห้องไป
ทั้งสองเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้รอบหนึ่ง จนลู่อันหรานรู้สึกเหนื่อย เวินหนิงจึงพาเขาไปที่ร้านอาหารเซียงจิง
แต่พอเดินเข้าร้านไปก็เห็นลู่จิ้นยวนนั่งทานข้าวอยู่กับหยงซือเหม่ย
เวินหนิงที่อารมณ์กำลังดีๆอยู่ได้หายวาบไปทันที
“อันหรานเราเปลี่ยนร้านกันดีมั้ย”
เวินหนิงเกิดความรู้สึกในใจอย่างบอกไม่ถูก
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนบอกกับลู่จิ้นยวนเองว่าเลิกกันดีกว่า แต่เพิ่งจะวันที่สองเขาก็พาหยงซือเหม่ยออกมาแบบนี้แล้ว เธอเลยรู้สึกอัดอั้นในใจอยู่ไม่น้อย
บางทีเธอยังคิดเลยว่าที่ลู่จิ้นยวนตอบตกลงง่ายๆแบบนั้น อาจเป็นเพราะมีทางเลือกใหม่อยู่แล้ว
พูดไปคุณสมบัติของหยงซือเหม่ยคนนี้ก็ตรงตามความต้องการของเย่หวานจิ้งไม่มีน้อย เพราะเธอสามารถช่วยส่งเสริมธุรกิจการงานของเขาได้ ถ้าลู่จิ้นยวนจะรับพิจารณาเธอมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“อ้าว ไหนแม่บอกว่าอาหารที่นี้อร่อยไงครับ?”
ลู่อันหรานตัวเล็กเลยยังมองไม่เห็นว่าลู่จิ้นยวนนั่งอยู่ข้างใน เลยสงสัยว่าทำไม่แม่ถึงจะต้องเปลี่ยนร้านด้วย
พอเขาถามขึ้นแบบนั้น ลู่จิ้นยวนที่นั่งอยู่ในร้านก็ได้ยินเข้า
เห็นเวินหนิงพาลู่อันหรานออกมาเที่ยว เขาจึงหันไปจ้องมองทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว
หยงซือเหม่ยเห็นแล้วก็พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในใจแอบรู้สึกหงุดหงิด เธอได้สั่งให้ซ่งรั่วอวิ้นไปหาเวินหนิงแล้วนี่ บอกว่าให้ไปกักตัวเธอไว้ไม่ใช่เหรอ?
ไร้ประโยชน์จริงๆ เรื่องแค่นี้ก็จัดการไม่ได้
แต่เธอก็ไม่ท่าทีรนราน พอเห็นว่าลู่จิ้นยวนใจไม่อยู่กับตัว เธอก็เลยตักเค้กยื่นไปป้อนให้ลู่จิ้นยวน
“จิ้นยวน ลองชิมอันนี้ดูค่ะ อร่อยมากนะคะ”
เสียงของเธอไม่เบาและไม่ดังมาก แต่ก็ดังพอให้เวินหนิงได้ยิน
ลู่อันหรานจึงสังเกตเห็นว่าพ่อตัวเองก็อยู่ที่นี่ ก่อนจะหันไปมองทางผู้หญิงที่ไม่รู้จักกำลังจะป้อนเค้กให้พ่อพอดี
หนุ่มน้อยเกือบระเบิดออกมา
ที่มันอะไรกัน ผู้หญิงคนนี้กำลังทำอะไร?
สีหน้าลู่จิ้นยวนเข้มขึ้นทันที :”ผมกับคุณไม่น่าจะสนิทกันขนาดนั้นนะครับ”
เมื่อครู่ หยงซือเหม่ยบอกว่าอยากหาที่คุยงานกัน ก็หมายถึงที่นี่ เขาเองก็ตอบตกลง
ทีนี้ยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่
หยงซือเหม่ยโดนหักหน้าแบบนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงฝืนยิ้มบาง: “ทำไมต้องแกล้งทำเป็นไม่สนิทด้วยล่ะคะ? คุณลู่”
คำพูดนี้ฟังแล้วเหมือนคนคุ้นเคยกันดี
เวินหนิงทนดูไม่ได้อีกต่อไป
“อันหราน เราอยากไปขัดจังหวะคนอื่นเขาเลย ไปกันเถอะ”
พูดเสร็จ ก็ดึงแขนลู่อันหรานเตรียมเดินออกจากร้าน
“ไม่ ผมจะกินที่นี่ครับ”
ลู่อันหรานไม่เข้าใจว่าทำไม่เวินหนิงต้องเดินหนี ในเมื่อเห็นได้ชัดว่าก็ยังแคร์กันอยู่?
ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ
ลู่อันหรานคิดว่าแม่คงไม่อยากลดตัวลงไปทำเรื่องอะไรแบบนั้น งั้นคงต้องให้เด็กน้อยอย่างเขาลงมือแล้วล่ะ
ในเมื่อเขาอายุแค่ห้าขวบเอง ทำอะไรก็ไม่ผิด
“อันหราน……”
เวินหนิงรู้สึกหนักใจ แต่พอเห็นลู่อันหรานทำหน้าน่าสงสาร:”แม่บอกผมว่าที่นี่อาหารอร่อยมาก แต่พอมาถึงแม่ก็ไม่ให้ผมเข้าไปกิน แม่โกหกผมนี่นา”
ลู่อันหรานทำตาปริบๆอย่างน่าสงสาร
เวินหนิงรู้สึกผิดในใจ เพื่อหลอกล่อให้เขาออกไปเดินเล่น เธอจึงพูดถึงข้อดีของร้านอาหารร้านนี้ให้เขาฟังมากมาย
พอมาถึงก็ไม่ให้เขาเข้าไปแบบนี้ ลู่อันหรานต้องรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมากแน่
“งั้น……ก็ได้”
เวินหนิงยอมตามใจ พนักงานจึงพาพวกเขาเข้าไปหาที่นั่ง แต่ลู่อันหรานได้เล็งที่นั่งเอาไว้แล้ว เขาดึงแขนเวินหนิงตรงไปยันโต๊ะที่ลู่จิ้นยวนนั่งอยู่
“นั่งตรงนี้เลยแล้วกัน”
“อันหราน……”
ทีนี้เวินหนิงไม่ยอมตกลงแน่ ถ้านั่งร่วมโต๊ะกับลู่จิ้นยวนและหยงซือเหม่ยแบบนี้เธอต้องอึดอัดจนตายแน่นอน จะเป็นการทรมานตัวเองมากไปมั้ย?”
“ดูสิครับ ตรงนี้ติดกับหน้าต่าง เห็นวิวแม่น้ำ เป็นโซนที่สวยที่สุดของร้านแล้วนะครับ อีกอย่าง……”
ลู่อันหรานเอียงหน้ามองลู่จิ้นยวน : “พ่อครับ พ่อไม่ว่าอะไรใช่มั้ยครับ?”
ลู่จิ้นยวนฟังสิ่งที่ลูกถามแล้ว ก็นึกอยากตบกะโหลกให้ซะที
ดูมันพูดเข้าอย่างกับว่าเขามีชู้ ทำอย่างกับมีหยงซือเหม่ยอยู่ด้วยแล้วเขาจะทำเป็นไม่รู้จักลูกตัวเอง
“ไม่ว่าอะไรแน่นอน ลูกมานั่งนี่”
ลู่จิ้นยวนเรียกพนักงานช่วยนำเก้าอี้เด็กมาให้ตัวหนึ่ง
“แล้วก็คุณป้าครับ ผมนั่งที่นี่ได้ใช่มั้ยครับ”
ลู่อันหรานยังไม่ทันนั่งลง ก็ปรายตาไปทรงหยงซือเหม่ย
ได้ยินเด็กน้อยเรียกเธอว่าป้า สีหน้าก็ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
คุณป้า?
เธอเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าเอง ไอ้เด็กแสบนี่ทำไมถึงไม่น่ารักเอาซะเลยนะ
“หนูชื่อลู่อันหรานใช่มั้ย? ฉันไม่ใช่คุณป้า หนูเรียกฉันว่าพี่ก็ได้”