ลู่อันหรานทำเป็นไม่เข้าใจก่อนจะเอียงหน้าถาม: “ไม่ใช่มั้งครับ ผมว่าอายุคุณป้าต่างกับแม่ผมเยอะอยู่นะ ดูแก่กว่าแม่ผมเยอะเลย!”
คำพูดของลู่อันหราน ทำให้หยงซือเหม่ยหน้าเสียเล็กน้อย
เรื่องอายุเป็นเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนซีเรียสอยู่แล้ว หยงซือเหม่ยเองยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่สาวน้อยคนหนึ่งอยู่เลย จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เหอะๆ หนุ่มน้อยปากเก่งไม่น้อยนะเราเนี่ย แต่ฉันยังไม่เคยมีลูกยังไม่แก่ขนาดนั้นหรอก”
“อ๋อ เหรอครับ? งั้นถ้าผมเรียกป้าว่าพี่ แล้วป้าจะเรียกแม่ผมว่าอะไรครับ? อีกอย่างป้าก็ต้องเรียกพ่อผมว่าลุงด้วยใช่มั้ยครับ?”
ลู่อันหรานหัวเราะคริคริ แต่ละอย่างที่พูดออกมาทำเอาหยงซือเหม่ยโมโหจนพูดไม่ออก
เธอชวนลู่จิ้นยวนมาทานข้าว ก็หวังว่าจะได้พัฒนาความสัมพันธ์กับเขา แต่กลับถูกเด็กบ้านี่พูดจนทำให้รู้สึกว่าเขากับเธอมันคนละรุ่นกันอย่างงั้น
“งั้นหนูก็เรียกฉันว่าป้าเถอะ”
หยงซือเหม่ยกัดฟันพูดจบ ก็ไม่พูดกับลู่อันหรานอีก
ถ้ายังต่อปากต่อคำกับเด็กบ้านี่ต่อ เธอต้องระเบิดแน่
ลู่อันหรานเห็นว่าเธอโกรธจนตัวสั่น ในใจรู้สึกซะใจอยู่ไม่น้อย
เวินหนิงมองดูเหตุการณ์ด้วยความอึดอัด ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะนั่งตรงไหนด้วย
“อันหราน พูดมากไปแล้วนะลูก เดี๋ยวแม่พาขึ้นไปชั้นบนดีกว่า ลูกอยากดูวิวแม่น้ำไม่ใช่เหรอ?”
อันหรานส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองลู่จิ้นยวน
จังหวะเดียวกันนั้นพนักงานก็นำเก้าอี้เด็กเข้ามาให้พอดี
“นั่งนี่เถอะ จะได้ไม่ต้องยุ่งยากให้พนักงานย้ายเก้าอี้เด็กอีกรอบ”
พอเขาพูดแบบนั้น เวินหนิงเองก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
ด้วยว่าเธอเป็นคนไม่ชอบรบกวนคนอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่แบบนี้เธอนั่งตรงไหนก็ดูจะเป็นปัญหานะ
หยงซือเหม่ยที่ถูกลู่อันหรานพูดด้วยความไม่เดียงสาจนโหโมนั่งหน้าตึงแบบนั้น เวินหนิงเองก็ไม่อยากไปนั่งข้างๆให้ตัวเองอึดอัด
ส่วนที่นั่งข้างๆลู่จิ้นยวน……
เธอก็ไม่อยากไปนั่ง
“มานั่งตรงนี้”
ลู่จิ้นยวนเหมือนจะดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงชี้ไปตรงที่นั่งข้างๆลู่อันหราน
ถึงแม้จะดูเบียดไปนิดแต่ก็พอนั่งได้
หยงซือเหม่ยเห็นดังนั้นจึงรีบพูดขึ้น: “ไม่เป็นไร เธอนั่งข้างฉันดีกว่าค่ะ”
พูดเสร็จก็ยังหันไปยิ้มให้เวินหนิงเล็กน้อย
แน่นอน มันไม่ใช่ว่าเธอชอบเวินหนิงหรอก แต่เพราะเธอเห็นว่าถ้าชวนลู่จิ้นยวนออกมาทานข้าวแล้วยังต้องมานั่งมองพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกนั่งรวมกันแบบนั้น แค่คิดก็รู้สึกสงสารตัวเอง จึงได้รีบออกปากแบบนั้น
เวินหนิงรู้สึกกับหยงซือเหม่ายหลายอย่าง ด้านหนึ่งก็อยากรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของไป๋หลินยวี่หรือเปล่า
อีกด้านก็พอดูออกว่าหยงซือเหม่ยรู้สึกยังไงกับลู่จิ้นยวน และรู้สึกได้ว่าหยงซือเหม่ยไม่เป็นมิตรกับเธอเท่าไหร่ เลยทำให้เธอไม่อยากเข้าใกล้หยงซือเหม่ยนัก
“ก็ได้ค่ะ”
เวินหนิงนั่งลงข้างๆหยงซือเหม่ย
ลู่อันหรานเม้มปากเล็กน้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก่อนจะก้มหน้าดูรายการอาหารบนเมนู
“ลองดูก่อนว่าลูกอยากกินอะไรนะ ชอบอันไหนก็ลองสั่งมากินดู”
เวินหนิงไม่ได้คุยกับผู้ใหญ่สองคนนั้นเลย เธอเอาแต่จ้องมองไปที่ลู่อันหราน
ลู่อันหรานสั่งของหวานที่ดูน่ากินสองสามอย่าง และยังสั่งเครื่องดื่มร้อนที่ดูน่าดื่มอีกหนึ่งที่
ลู่อันหรานที่ยังสนใจความแปลกใหม่หลายอย่างของที่นี่ อีกทั้งเขาเองก็ไม่อยากให้หยงซือเหม่ยมีโอกาศพูดคุยบนโต๊ะอาหารด้วย จึงเอาแต่ชวนพ่อและแม่คุยไม่หยุด
เวินหนิงเองก็คอยพูดโต้ตอบกับลูกชายไม่หยุด ส่วนลู่จิ้นยวนที่ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่นั่งมองสองแม่ลูกด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว
ตลอดมื้ออาหาร เขาเกือบลืมหยงซือเหม่ยไปเลย
ส่วนหยงซือเหม่ยเองที่อยากมีส่วนร่วมในการสนทนามากแค่ไหนก็หาจังหวะแทรกไม่ได้เลย เพราะลู่อันหรานเอาแต่พูดไม่หยุด คนที่ไม่สนิทนักแทบไม่เข้าใจว่าหนุ่มน้อยกำลังคิดอะไรอยู่
หยงซือเหม่หุบตาลงเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ มือที่วางอยู่บนกระเป๋าก็กำเข้าหากันแน่จนเห็นเส้นเอ็น
ผู้หญิงคนนี้ก็แค่มีลูกให้ลู่จิ้นยวนคนหนึ่ง
แต่มาทำเป็นโชว์ต่อหน้าเธอแบบนี้ มันดูไม่ได้จริงๆ
ที่ผ่านมาเพราะหยงซือเหม่ยมีชาติตระกูลดี หน้าตาสะสวย จนเคยชินกับการที่ถูกผู้คนเอาอกเอาใจ แต่เวลานี้เธอกลับกลายเป็นแค่ตัวประกอบที่ไม่มีใครสนใจ ในใจจึงรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ในขณะที่เธอกำลังอดกลั้นกับความไม่พอใจ พนักงานก็ยกอาหารที่เพิ่งสั่งไปมาให้
หยงซือเหม่ยนั่งมองอยู่นิ่งๆ จังหวะที่พนักงานกำลังยื่นเครื่องดื่นร้อนให้เวินหนิง เธอก็ยื่นเท้าไปขัดพนักงานเสิร์ฟ
พนักงานสะดุดเท้าทีหนึ่ง ทำให้เครื่องดื่นในมือหกใส่บนตัวเวินหนิง
“โอ๊ย! ”
เวินหนิงตกใจร้องขึ้น
ยังโชคดีที่เครื่องดื่มไม่ได้ร้อนมาก แค่ทำให้เสื้อเธอเปียกและเปื้อนจนต้องไปเช็คทำความสะอาด
“ฉันขอตัวไปห้องน้ำสักครู่ค่ะ”
เวินหนิงมองดูรอยเปื้อนบนตัวอย่างกังวล เพราะเสื้อของเธอค่อนข้างบางจึงทำให้เกือบมองเห็นไปยันเสื้อใน
“ใส่เสื้อฉันไว้”
ลู่จิ้นยวนรีบถอดเสื้อสูทยื่นให้เธอ เวินหนิงหันไปมองแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้รับมา
หยงซือเหม่ยเองก็รีบเอาผ้าคลุมไหล่ของตัวเองยืนให้เวินหนิง: “เอานี่คลุมดีกว่าค่ะ”
เวินหนิงมองเธอด้วยสายตาแปลกใจ ก่อนที่หยงซือเหม่ยจะรีบลุกขึ้น: “ฉันไปเป็นเพื่อนเธอดีกว่า แบบนี้เธอดูจะไม่ค่อยสะดวกนะ”
พูดจบก็ดันตัวเวินหนิงออกเดิน
ลู่จิ้นยวนอยากห้ามพวกเธอไว้ แต่ก็ไม่รู้จะอ้างเหตุผลอะไร
จึงทำได้เพียงนั่งมองสองสาวเดินจากไป
ลู่อันหรานเห็นดังนั้นจึงหันไปจ้องมองพ่อด้วยสีหน้าไม่พอใจ:”พ่อ นี่มันเรื่องอะไรกันครับ? ผมไม่ได้เฝ้าพ่อแค่วันเดียว พ่อก็ออกมาทำเรื่องอีกแล้ว เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้วนะครับ ”
“ลู่อันหราน ระวังคำพูดลูกด้วย……พ่อแค่มาคุยงานกับเขา”
ลู่จิ้นยวนเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ลู่อันหรานจะเกินไปแล้วนะ ยังไงเขาก็เป็นพ่อ พูดแบบนี่ได้เหรอ?
คนเป็นพ่ออย่างเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ?
“เชอะ! ยังไงก็ไม่ได้ พ่อไม่เห็นหรือครับว่าเมื่อกี้แม่มีสีหน้าแปลกๆ”
ลู่อันหรานพูดอย่างไม่พอใจ คิดไม่ถึงว่าลู่จิ้นยวนได้ยินแบบนั้นแล้วกลับรู้สึกดีใจซะงั้น
“จริงเหรอ?”
ลู่จิ้นยวนเองก็รู้สึกว่าสีหน้าท่าทางของเวินหนิงเมื่อครู่ดูแปลกๆ แต่ก็กลัวว่าเขาจะคิดมากไปเองจึงไม่ได้ใส่ใจอีก
ถ้าลู่อันหรานก็รู้สึกแบบนั้น งั้นก็แสดงว่าเธอยังแคร์เขาอยู่
นั้นหมายความว่าเขายังมีความหมายกับเวินหนิงอยู่ไม่น้อย
เพียงแค่ว่าปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยแสดงให้เห็น
“พ่อกับผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรกันจริงๆ ลูกกลับไปแล้ว อย่าลืมช่วยพ่อค่อยๆอธิบายให้แม่เขาหน่อยนะ”
ลู่อันหรานเรียนแบบท่าทางของลู่จิ้นยวน โดยการเอนตัวพิงเก้าอี้ไว้ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย : “อืม ได้น่ะได้อยู่ แต่พ่อว่าควรให้รางวัลผมหน่อยมั้ยครับ?”
ลู่จิ้นยวนมองดูเขาแวบหนึ่ง ไอ้ตัวแสบ สิ่งดีๆน่ะไม่รู้จักเรียนแบบ ทีแบบนี้เรียนรู้ไวเชียว
นี่กล้าต่อรองกับเขาเลยเหรอ?
“ลูกอยากได้รางวัลอะไร?”
ลู่อันหรานนึกอยู่ชั่วครู่ เหมือนตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าอยากได้อะไร: “ตอนนี้ยังไม่มีสิ่งที่อยากได้ครับ แต่พ่อต้องให้สัญญาไว้ก่อนหนึ่งข้อ โดยต่อไปไม่ว่าผมขออะไรพ่อก็จะให้แบบไม่มีเงื่อนไข ”