เมืองเจียงเฉิง
หลังจากที่ศาสตราจารย์หลี่มากถึง อันเฉินจัดการให้เขาไปพักที่โรงแรมคืนหนึ่ง วันที่สองก็รีบพาเขาไปที่โรงพยาบาล
เรื่องการผ่าตัดนี้ เขาไม่อยากจะยื้อแม้แต่วินาทีเดียว
ศาสตราจารย์หลี่เป็นเพราะถูกเวินหนิงกับลู่จิ้นยวนไว้วาน ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างมาก วันที่สองก็รีบมาตั้งแต่เช้าตรู่
ดูแผ่นเอกซเรย์สมองของเย่หวานจิ้งก่อน พบต่ำแหน่งของก้อนเลือดในสมอง “ต่ำแหน่งนี้อาจจะกดทับเส้นประสาทสายตา ถึงได้ทำให้เธอมีอาการตาบอดในตอนนี้ ถ้าจะทำการผ่าตัดก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ว่าอาจจะค่อนข้างอันตราย ต่ำแหน่งนี้สำคัญมากจริง ๆ การกระจายของเส้นประสาทมีความหนาแน่นมาก”
เมื่อได้ยินพวกนี้ ผู้ใหญ่ทั้งสองของตระกูลเย่และอันเฉินก็ไม่กล้าตัดสินใจแบบนี้ ในเมื่อถ้าหากทำการผ่าตัดแล้วยังไม่สามารถฟื้นคืนสายตาได้ แล้วเกิดปัญหาอื่นอีก เรื่องแบบนี้พวกเขารับมันไม่ไหว
“พวกคุณสามารถไตร่ตรองให้ดีก่อนได้ ถ้าหากคนไข้ยินยอมที่จะรับการผ่าตัด งั้นผมจะเลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุดทำการ”
“รบกวนด้วยนะครับ”
อันเฉินจนปัญญา ยังไงเรื่องนี้ก็รีบร้อนไม่ได้
จึงทำได้เพียงส่งศาสตราจารย์หลี่กลับโรงแรม แต่เมื่อขับรถไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปหาเพื่อนเก่าที่โรงพยาบาลท้องถิ่นอีกแห่งหนึ่ง อันเฉินจึงต้องพาเขาไปส่งก่อน
ในขณะที่กำลังจะขับรถกลับไปที่เย่ซือเยวี่ยที่นั่น คุณแม่อันก็โทรศัพท์เข้ามา
“อาเฉิน ลูกออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแบบนี้ ไปทำอะไรเหรอ?
คุณน้าจางของลูกแนะนำผู้หญิงคนนึงให้ลูก เป็นคุณครูมหาลัย ถ้าลูกว่าง ก็ไปรู้จักสักหน่อยเถอะ”
อันเฉินได้ฟังคำพูดนี้ ก็หัวร้อน ช่วงนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของเย่ซือเยวี่ย ยังไม่มีโอกาสบอกกับคนในครอบครัวว่าตอนนี้เขามีแฟนแล้ว
เพียงแต่ว่า…สถานการณ์ของเย่ซือเยวี่ยในตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมที่จะพาไปลูกจักคนในครอบครัวของตัวเอง
“แม่ครับ ตอนนี้ผมยุ่งมาก ไม่มีเวลาไปเจอกับเธอ แม่ช่วยผมปฏิเสธเถอะ”
”อะไร?
ลูกยุ่งขนาดไหน?
แค่เวลาที่ออกไปทานข้าวกับลูกสาวคนอื่นเขาก็ไม่มีเหรอ?”
“ยังไงตอนนี้ก็ยุ่งมาก ผมไม่สนใจผู้หญิงคนนั้น แค่นี้นะครับ ผมวางสายก่อนนะครับ”
หลังจากที่อันเฉินวางสายโทรศัพท์ ก็กลับมาที่โรงพยาบาลอีก
คุณแม่อันโมโหแทบจะระเบิด บริษัทตระกูลลู่นี่ หรือว่าจะเป็นบริษัทใจดำอะไร?
รู้สึกว่าอันเฉินทำงานตตลอดทั้งวันทั้งเช้าทั้งค่ำ แม้กระทั่งเวลาที่จะไปนัดดูตัวก็ไม่มีเหรอ?
คิดไปคิดมา เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกชายของตัวเองต้องเป็นคนแก่โสดในอนาคต ให้เพื่อนของตัวเองหัวเราะเยอะ คุณแม่อันจึงไปที่บริษัทโดยตรง วางแผนว่าจะไปร้องขอความยุติธรรม
แน่นอนว่าอันเฉินไม่รู้เรื่องนี้ เขากลับไปที่เย่ซือเยวี่ย ก็เห็นคุณแม่เย่นั่งอยู่ด้านนอก หน้าตาโศกเศร้า
“อันเฉิน นายว่าเรื่องนี้จะทำยังไงดี?”
ตอนนี้อันเฉินกับเย่ซือเยวี่ยมีความสัมธ์เป็นคู่รักกัน อีกอย่างการแสดงออกเวลาปกติของเขา ไว้ใจได้มาก ดังนั้นเรื่องของเย่ซือเยวี่ย คุณแม่เย่ค่อนข้างฟังเขา
“ผมคิดว่า ควรจะให้ซือเยวี่ยตัดสินใจเองครับ”
ตลอดช่วงเวลานี้ที่ได้รู้จักกับเย่ซือเยวี่ยมานี้ อันเฉินรู้สึกว่าเธอไม่ได้เป็นคนบอบบางขนาดนั้น อีกอย่างความสัมพันธ์ตลอดชีวิตแบบนี้ ไม่สามารถให้คนอื่นตัดสินใจได้
“คุณน้าครับ คุณน้าวางใจได้ครับ ไม่ว่าผลของการผ่าตัดจะเป็นยังไง ผมจะไม่มีทางทิ้งซือเยวี่ยไปครับ”
เมื่อได้ยินอันเฉินพูดแบบนี้ คุณแม่เย่พยักหน้าอย่างชื่นใจ ลูกสาวของตัวเองมีผู้ชายแบบนี้ดูแล เธอก็วางใจไม่น้อย
อันเฉินเดินเข้าห้องผู้ป่วย มองดูสีหน้าของเย่ซือเยวี่ย ดูท่าทางสภาพจิตใจถือว่าปกติ
“ซือเยวี่ย ฉันมีเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เรื่องหนึ่งจะคุยกับเธอ”
เย่ซือเยวี่ยมองมาทางเขา “เรื่องอะไรเหรอ?”
อันเฉินกำลังเตรียมคำพูด กำลังจะวิเคราะห์ผลดีผลเสียของการผ่าตัดให้กับเย่ซือเยวี่ย ก็มีสายโทรศัพท์จากคุณแม่อันเข้ามา “อันเฉิน ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหนกันแน่ แม่อยู่ที่บริษัทของลูก ไม่เห็นว่าลูกจะมาทำงานหนิ?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย อันเฉินหัวร้อนมาก
ส่วนคุณแม่อันหลังจากที่มาที่บริษัทกลับหาคนไม่พบ เธอโมโหเป็นอย่างมาก เมื่อกี้เธอถามคนอื่นดู ถึงได้รู้ว่าช่วงนี้อันเฉินไม่ได้มาที่บริษัทเลย แต่เวลาส่วนใหญ่ไปอยู่ที่โรงพยาบาล
ได้ยินคนพวกนั้นบอกว่า เขาไปดูแลผู้หญิงคนหนึ่งอยู่
เมื่อได้ยินว่าเป็นผู้หญิง คุณแม่อันก็ไม่อยู่เฉยแล้ว ลูกชายของเธอไม่ได้สมัครเป็นพี่เลี้ยง ทำไมผู้ป่วยคนหนึ่งต้องให้ผู้ช่วยพิเศษแบบเขาไปดูแลด้วยตัวเอง?
หรือว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นจะมีความสัมพันธ์พิเศษอะไรกัน?
ยิ่งคิดก็ยิ่งอดกลั้นความสงสัยไว้ไม่อยู่ คุณแม่อันโทรศัพท์มาถาม
“คุณแม่ครับ คุณแม่ไปที่บริษัทได้ยังไง?
อันเฉินเดินไปคุยโทรศัพท์ที่ด้านข้าง อันที่จริงเย่ซือเยวี่ยก็ได้ยินที่เขาคุยโทรศัพท์โดยคร่าว ๆ
คนที่โทรมาคือคุณแม่ของอันเฉินเหรอ?
แต่ว่าไม่มีท่าทีจะแนะนำตัวเองให้กับคุณแม่ของเขา…
เย่ซือเยวี่ยหน้ามุ่ยนิดหน่อย
“แม่ก็แค่อยากจะรู้ว่าวัน ๆ หนึ่งลูกไม่อยู่บ้านไปทำอะไรกันแน่?”
อันเฉินฟังตัวเองมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับเป็นเพราะผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับโกหกเธอ ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
“แม่ครับ เรื่องนี้ผมค่อยอธิบายกับแม่ภายหลังนะครับ”
อันเฉินคุยกับเธอไม่กี่ประโยค ปลอบใจอารมณ์ของคุณแม่ แล้วก็รีบกลับไปที่ห้องผู้ป่วยทันที
“ซือเยวี่ย เรื่องเมื่อกี้ยังคุยไม่จบ การผ่าตัดครั้งนี้…”
“นายมีเรื่องที่จะต้องไปทำใช่ไหม?
เมื่อกี้คุณป้าโทรหานาย ไม่อย่างงั้นนายกลับไปก่อนเถอะ ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไร”
เย่ซือเยวี่ยพูดแบบนี้ ทำท่าทางเหมือนไม่ได้สนใจอะไร
เพียงแค่เธอไม่แสดงความเศร้าในใจของเธอออกมา
สภาพของเธอตอนนี้ ก็เป็นได้แค่ตัวภาระ อันเฉินไม่อยากแนะนำเธอกับคนในครอบครัว ดูเหมือนก็ไม่ได้ผิดอะไร
เพียงแต่ ทำไมในใจถึงได้เสียใจขนาดนี้นะ…
อันเฉินกำลังจะพูดอะไรต่อ จู่ ๆ เย่ซือเยวี่ยก็ตัดคำพูดของเขา “ฉันเหนื่อยแล้ว ขอพักก่อนนะ”
อันเฉินเห็นแบบนี้ ทำได้แค่ให้เธอนอนพักก่อน เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเย่ซือเยวี่ยถึงโมโห
…
หลังจากที่ศาสตราจารย์หลี่ถูกอันเฉินมาส่งที่โรงพยาบาล ก็รีบทำตามคำบอกของซ่งรั่วอวิ้นไปหาไป๋หลินยวี่ในทันที
เขาจำเป็นต้องได้รับตัวอย่างเลือดของเธอ ถึงจะกลับไปหาแบบคู่ที่ตรงกันได้
เพราะเขามีคุณสมบัติสูง ดังนั้นทุกอย่างจึงราบรื่นมาก ตัวอย่างเลือดถูกส่งไปที่ห้องทดลองเพื่อทำการคัดกรองอย่างละเอียดของเมืองจิงเฉิงอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ซ่งรั่วอวิ้นได้รับข่าวเรื่องนี้ ก็โทรศัพท์หาเวินหนิงในทันที “ตัวอย่างเลือดของคุณแม่ของคุณได้รับแล้ว น่าจะมีข่าวเร็ว ๆ นี้ ถึงเวลาอย่าลืมคำสัญญาของคุณ”
เวินหนิงกำลังเล่นเป็นเพื่อนลู่อันหรานอยู่ เมื่อเห็นข่าวนี้ ดวงตาเคร่งขรึม
“โอเค รอข่าวดีจากคุณนะคะ”
หลังจากที่เวินหนิงตอบกลับ ก็ทำท่าทางเหมือนไม่มีเรื่องอะไร เล่นกับลู่อันหรานต่อ
“คุณแม่ครับ คุณแม่ส่งข้อความอยู่กับใครครับ?”
ลู่อันหรานมักรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เวินหนิงส่ายหน้า
อันที่จริงเธอก็ไม่รู้ว่าตระกูลหยงจะสามารถหาไขกระดูกที่เข้ากันได้หรือเปล่า เพียงแต่มาส่งฟรีถึงที่ จะไม่รับก็เปล่าประโยชน์
อีกอย่าง…เงื่อนไขของเย่ซือเยวี่ย ก็แค่ให้เธอออกจากชีวิตลู่จิ้นยวน เดิมทีเธอก็ตั้งใจจะทำแบบนี้อยู่แล้ว