เวินหนิงไม่ได้พูดไรอีก จากนั้นก็ขึ้นรถลู่จิ้นยวน
พอเห็นเธอให้ความร่วมมือ ลู่จิ้นยวนก็โล่งอกไปที
ยังดี ตอนนี้เธอยังไม่ได้ต่อต้านทุกอย่างของเขา
ลู่อันหรานกระพริบตา เหมือนกำลังรอคำชม
เวินหนิงไม่ได้สังเกตพวกเขา นั่งอยู่ในรถ แค่รู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่เธอหันหน้าออกทางหน้าต่าง ไม่ให้ใครเห็นว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
รถแล่นไปที่จุดหมายอย่างรวดเร็ว
ลู่อันหรานมองนอกหน้าต่าง ก็รู้สึกตื่นเต้น “ว้าว แม่ดูสิครับ ที่นี่สวยมาก”
เวินหนิงลงรถ มองบ้านหลังตรงหน้า จะว่าใหญ่ก็ไม่ได้ใหญ่มาก แต่กลับดูโดดเด่น โอบล้อมไปด้วยกลิ่นอายความโมเดิร์น
เป็นบ้านสไตล์คอร์ทยาร์ด ข้างนอกเป็นกำแพงหิน ที่ประตูก็สลักลวดลายมงคล
เพราะเป็นดีไซเนอร์ เวินหนิงเลยเดินไปดู ลวดลายพวกนี้เป็นของเก่าแก่ ตอนนี้นิยมวัฒนธรรมราชวงศ์ฮั่น ซึ่งนำมาผสมผสานกับเสื้อผ้าได้ดีมาก
ลู่อันหรานชอบที่นี่มาก เขาโตมาที่ต่างประเทศ พอเห็นบ้านที่สไตล์แปลกตาแบบนี้ก็ประหลาดใจมาก
เห็นสีหน้าของทั้งสองแม่ลูก เป็นไปตามที่ลู่จิ้นยวนคาดไว้ เพราะยังไงนี่ก็เป็นบ้านที่เขาตั้งใจเลือก
ตอนที่เวินหนิงกำลังดูรายละเอียดหน้าประตู เจ้าของเห็นว่ามีคนมา ก็รีบเดินออกไป กำลังจะพูดกับลู่จิ้นยวน ผู้ชายคนนั้นก็ขยิบตา ให้เขาไปคุยกับเวินหนิง
เจ้าของบ้านเข้าใจทันที รู้สึกปลื้มลู่จิ้นยวนมาก บ้านหลังนี้ เป็นโซนที่มีมูลค่ามาก ราคาต้องไม่เบาแน่นอน
ไม่คิดเลยว่าผู้ชายคนนี้จะให้อำนาจการตัดสินอยู่ที่ภรรยา เป็นสามีตัวอย่างจริงๆ
เดินไปไม่กี่ก้าว “คุณผู้หญิงครับ คุณมาดูบ้านเหรอครับ?”
“ใช่ครับใช่ครับคุณลุง บ้านของคุณลุงสวยมาก”
ลู่อันหรานปากหวาน จนเจ้าของบ้านหุบยิ้มไม่ได้
“งั้นเราเข้าไปดูข้างในกันเถอะครับ”
เจ้าของบ้านรู้สึกดีกับทั้งครอบครัว เพราะชายก็หล่อหญิงก็สวย แถมเด็กยังเฉลียวฉลาดอีก
เวินหนิงเห็นลู่อันหรานวิ่งเร็วมาก จนอดส่ายหน้าไม่ได้ “อันหราน เราอย่าวิ่งเร็ว เดี๋ยวทำให้ของเสียหาย ถ้าเราหกล้มจะทำยังไงคะ?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ใช่เด็กแล้ว จะล้มได้ยังไงครับ?”
ลู่อันหรานเอ่ย เวินหนิงได้ยินแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ แค่เด็กห้าขวบ ยังกล้าพูดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กอีก
“ไม่เป็นไรหรอก เขารู้ตัว”
ลู่จิ้นยวนที่อยู่หลังเวินหนิง เอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง
เวินหนิงได้ยินเสียงของเขา ก็มีความคิดที่อยากจะหนี แต่ตอบเสียงเบาแล้วรีบไปหาลู่อันหรานทันที
ลู่จิ้นยวนเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมาก แค่เดินตามพวกเขาอยู่ข้างหลัง
“ที่นี่เป็นลานกลางแจ้งครับ คุณดูต้นไม้นั่นสิครับ อายุหลายสิบปีแล้ว ฤดูร้อนมานั่งดื่มชาใต้ต้นไม้ จะรู้สึกสบายใจมากเลยครับ”
เจ้าขอบ้านเป็นคนที่ใช้ชีวิตเป็นมากๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมขายบ้านนี้ให้ทุกคน ขายให้แค่คนที่เขารู้สึกพอใจเท่านั้น จากนั้นค่อยคุยเรื่องราคา เพราะความจริงใจกี่วันก่อนของลู่จิ้นยวนทำให้เขาหวั่นไหวแล้ว
พอเวินหนิงได้ยินที่เขาพูด ก็อดนึกถึงบ้านตัวเองไม่ได้ ถึงแม้ไม่สวยขนาดนี้ แต่หน้าประตูก็มีต้นไม้แบบนี้เหมือนกัน ตอนเด็กคุณแม่ชอบพาเธอไปนั่งใต้ต้นไม้บ่อยๆ เธอในตอนนั้น เหมือนเจ้าหญิงตัวเล็กที่ไร้ความกังวล
“แต่ก่อนหน้าประตูบ้านฉันก็มีต้นไม้แบบนี้เหมือนกันค่ะ ตอนเด็กถ้าฉันโดนคุณแม่ด่า ก็ชอบปีนขึ้นไปหลบ แต่มีครั้งหนึ่งโดนหนอนกัด จากนั้นก็ไม่กล้าเกเรอีกเลย”
เวินหนิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง นึกย้อนถึงอดีต
ลู่อันหรานได้ยินเวินหนิงพูดถึงตอนเธอยังเด็กครั้งแรก เลยอดพึมพำไม่ได้ “ไม่คิดเลยว่าตอนเด็กคุณแม่ก็ไม่ให้คนอื่นวางใจ ดูเหมือนว่าผมไม่ได้เกเรขนาดนั้น”
คำพูดของลู่อันหราน ทำให้ผู้ใหญ่หัวเราะ
เจ้าของบ้านมองเวินหนิง “คุณผู้หญิงคนนี้รู้จักใช้ชีวิตเป็นมากผมประทับใจคนอย่างคุณ”
เวินหนิงได้ยินก็อดยิ้มไม่ได้ “คุณก็เหมือนกันค่ะ ถ้าไม่ใช่ชอบ คงไม่ตกแต่งบ้านตัวเองแบบนี้”
ลู่จิ้นยวนเห็นทั้งสองคุยกันถูกคอ เลยอดส่ายหน้าไม่ได้
ยังดี ตอนนี้เจ้าของบ้านอายุน่าจะห้าสิบกว่าแล้ว ลูกคงโตเท่าเวินหนิง ไม่อย่างงั้น เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรหึงหรือเปล่า
เจ้าของบ้านกับเวินหนิงคุยกันถูกคอมาก พาพวกเขาเดินดูรอบๆ พอดูครบทุกมุม ทุกคนก็รู้สึกพอใจมาก
“ถ้าพวกคุณพอใจ เราเข้าไปคุยเรื่องสัญญากันไหมครับ”
เวินหนิงพยักหน้า ทุกคนเลยเดินเข้าไปในห้องหนังสือข้างๆ
“บ้านหลังนี้สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นทวดของผม ตามหลักแล้วไม่ควรขาย แต่เพราะลูกชายผมทำงานที่ต่างประเทศ ไม่ไว้ใจให้ผมอยู่คนเดียวที่นี่ ก็เลยจะขาย ผมรู้สึกถูกชะตากับพวกคุณมาก ในเมื่อแบบนี้ ราคาคงไม่สูงมาก คุณว่า ราคานี้เป็นยังไงบ้างครับ?”
เจ้าของบ้านเขียนราคาบนกระดาษ เวินหนิงหยิบมาดู เธอกลืนน้ำลายทันที
ถึงแม้เจ้าของบ้านบอกจะไม่ขายให้ตัวเองแพงมาก แต่ตัวเลขนี้……
เวินหนิงลองนับดู เลขเก้าหลัก
ถึงจะรู้ตั้งแต่เข้ามาแล้วว่าบ้านหลังนี้คงไม่ถูก แต่ตัวเลขนี้ เวินหนิงยังต้องคิดดูอีกที
“เรื่องซื้อบ้านเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฉันอาจจะ……”
“ตัวเลขนี้เลยครับ ผมซื้อ”
ลู่จิ้นยวนอยู่ข้างหลัง ก็ต้องเห็นราคาชัดเจนอยู่แล้ว
จากที่เขาสืบมา นี่ไม่ได้ยกราคาเลย บ้านหลังนี้ก็ควรจะราคานี้
ที่สำคัญคือ เวินหนิงกับลู่อันหรานชอบ นี่สิที่ยาก
เพราะฉะนั้นผู้ชายคนนี้ไม่ลังเลเลย ตอบตกลงทันที
เวินหนิงหันไปมองเขา “นายไม่ต้องออกเงินก็ได้”
ถ้าลู่จิ้นยวนจ่าย เธอคงย้ายเข้ามาอยู่ไม่ได้
“อย่าสนใจเธอเลยครับ เราเซ็นสัญญากันเถอะครับ”
พอลู่จิ้นยวนได้ยินเวินหนิงพูดแบบนั้น เขาก็เลิกคิ้ว
เจ้าของบ้านมองทั้งสองอย่างมึนงง
อะไรกัน พวกเขาไม่ใช่สามีภรรยากันเหรอ เรื่องเงินทองต้องแบ่งกันชัดเจนขนาดนี้?
แต่ในเมื่อลู่จิ้นยวนเอ่ยปากจะซื้อ เขาก็จะไม่ยุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่น “งั้นเราไปดูสัญญากันครับ”
ลู่จิ้นยวนพยักหน้า กำลังจะเดินไป แต่เวินหนิงกลับเอ่ย “เดี๋ยวค่ะ ฉันเป็นคนจะซื้อบ้าน ไม่ใช่เขา”
“ครอบครัวเดียวกัน จะแบ่งอะไรขนาดนั้น?”
คำพูดของลู่จิ้นยวน ทำให้เจ้าของบ้านพยักหน้า “คุณผู้หญิง ตอนนี้คุณยังเด็ก อาจจะอยากพึ่งพาตัวเอง แต่ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าทำให้เรื่องเงินๆทองๆมาเป็นปัญหา อย่างนี้จะไม่ค่อยดี”
เวินหนิงยิ่งหมดคำพูดกว่าเดิม เธอกับลู่จิ้นยวนหย่ากันตั้งนานแล้ว ยังครอบครัวอะไรอีกล่ะ