“ผม….ผมรู้แล้ว ผมจะรีบเรียกแม่ผมมา”
ถึงแม้ลู่อันหรานก็กลัวว่าจะโดนแม่ตัวเองด่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปกังวลเรื่องนั้น ถ้ายังไม่รีบไปเรียกอีก ไป๋ซินหรานต้องเกิดเรื่องแน่ๆ
พูดจบก็รีบวิ่งออกไปโทรหาเวินหนิง
เวินหนิงอยู่ที่บ้านก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่แล้ว เธอปล่อยให้เด็กสองคนอยู่ที่ตรงนั้นก็เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบในขณะนั้น
ทั้งหมดเป็นเพราะลู่หวานจิ้งนั้นบ้าอำนาจ ไม่คิดถึงความรู้สึกของลู่อันหรานเลยสักนิด เลยทำแบบนี้
แต่ตอนนี้ พอคิดถึงว่าเด็กสองคนนั้นอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่ากินดีอยู่ดีหรือเปล่า เวินหนิงก็รู้สึกผิดไปเลย
ถึงแม้เธอจะคิดว่าเย่หวานจิ้งจะเห็นแก่ผลประโยชน์แค่ไหน ก็คงไม่ทำอะไรหลานตัวเองหรอก
และในตอนที่เวินหนิงกำลังคิดว่าจะไปรับเด็กทั้งสองกลับมาดีมั้ยนั้น ลู่อันหรานก็โทรมา
เวินหนิงกดรับในทันที ในตอนที่เธอกำลังจะพูดนั้น เสียงที่สะอื้นของลู่อันหรานก็ดังขึ้น“แม่ครับ แม่รีบมาหาหน่อย เกิดเรื่องแล้ว ซินหรานเกิดเรื่องแล้ว!”
น้อยมากที่อันหรานจะร้องไห้ แต่พอนึกถึงว่าซินหรานเป็นแบบนี้เพราะตัวเขาเอง ก็ทั้งกระวนกระวายทั้งรู้สึกผิด อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
เวินหนิงที่ได้ยินแบบนั้น เหมือนโดนฟ้าผ่าลงมา กลางหัว เกิดเรื่อง?
เธอออกจากตรงนั้นก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
วินาทีนั้นวิญญาณของเวินหนิงหายไปจากร่างทันที ฝ่ามือของเธอนั้นชื้นไปด้วยเหงื่อ
แต่เธอรู้ว่าตอนนี้ลู่อันหรานต้องตกใจมากแน่ๆ เธอจะรนตามไปด้วยไม่ได้ ไม่งั้นจบกันแน่
เวินหนิงหยิกที่ขาตัวเองทีนึง ใช้ความเจ็บมากระตุ้นสมองของเธอให้ตั้งสติ“อันหราน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลูกใจเย็นๆก่อนนะ แม่จะรีบไปหา อย่าร้องแล้ว มีเรื่องอะไรเดี๋ยวแม่จะช่วยจัดการให้!”
พูดจบ เธอก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อ เรียกรถมารับแล้วไปที่โรงพยาบาลทันที
เวินหนิงมาถึงปุ๊ป พยาบาลก็ตรงเข้ามาหาเธอทันที“คุณเป็นผู้ปกครองของเด็กผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ยคะ?
ตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ในห้องฉุกเฉินอาการอยู่ในขั้นวิกฤต รีบมาเซ็นชื่อหน่อยค่ะ!”
พอได้ยินดังนั้นขาของเวินหนิงถึงกับอ่อนไปเลย
วิกฤต?
ทำไมถึงรุนแรงขนาดนี้?
ถึงเวินหนิงจะทำใจมาขนาดไหนก็ตกใจอยู่ดี
แต่เธอแค่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วเดินไป“โอเค ฉันจะเซนตอนนี้เลย”
ถึงเวินหนิงจะไม่ใช่แม่ของไป๋ซินหราน แต่ตอนนี้ก็ไม่ทันที่จะรอครอบครัวของเธอมาแล้ว อยู่ในห้องฉุกเฉิน ทุกวินาทีนั้นมีค่ามาก พวกเขารอไม่ได้หรอก
อีกอย่าง ในเมื่อไป๋ซินหรานเกิดเรื่องในตอนที่อยู่กับเธอ เวินหนิงรู้สึกว่าไม่ว่าจะยังไงแล้วเธอก็ต้องรับผิดชอบ
ฉะนั้นแล้วเธอจึงรีบเซนชื่อทันที“คุณพยาบาลคะ ขอร้องล่ะค่ะ คุณต้องช่วยรักษาเธอให้ได้นะคะ ไม่ว่าจะใช้เงินเท่าไหร่ก็ต้องช่วยเธอให้ได้!”
พยาบาลที่เห็นเธอเซนชื่อแล้วก็พยักหน้าตอบรับ“วางใจเถอะค่ะ เราจะช่วยเธอให้สุดความสามารถ”
พูดจบ พยาบาลคนนั้นก็เดินเข้าห้องฉุกเฉินทันที
เวินหนิงที่เห็นไฟเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดไปนั้นหัวใจของเธอก็เหมือนถูกบีบไปด้วย
ลู่อันหรานมองเหตุการณ์ทางนี้ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็สามารถเข้ารักษาได้นั้นก็โล่งอกทันที แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกผิด เหมือนถูกภูเขาทั้งลูกทับไว้ ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก
“แม่ครับ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เป็นความผิดของผมเอง……”
ลู่อันหรานก้มหัวลง พูดโทษตัวเองอย่างรู้สึกผิด
เวินหนิงที่เห็นน้ำตานองหน้าของลู่อันหรานนั้นก็รีบย่อตัวลงถามเขา“อันหราน ลูกอย่าเพิ่งร้องนะ บอกแม่ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ตอนนี้ไป๋ซินหรานเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ เวินหนิงก็เริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมา โกรธตัวเองที่ไม่อยู่ดูแลพวกเขา เพื่อที่จะทำให้พวกนั้นทำให้เด็กถูกทำร้ายเข้าให้
แต่พอเห็นลู่อันหรานที่ร้องไห้เสียใจขนาดนี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจเลย
“ผมไม่รู้ครับ ผมเค่สั่งข้าวมากินด้วยกัน ผมไม่เป็นไร แต่เธอ……เธอกลับกลายเป็นแบบนี้”
เวินหนิงที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่วายที่จะขมวดคิ้ว
ถึงปกติลู่อันหรานจะซนไปหน่อย แต่เธอรู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่พูดโกหกแน่นอน งั้นก็แสดงว่าพวกเขากินอาหารเข้าไป ไป๋ซินหรานเลยเป็นอย่างที่เห็นหรอ?
หรือว่าจะเป็นอาหารเป็นพิษ?
แต่ถ้าเป็นอาหารเป็นพิษ ทำไมเด็กถึงเป็นอยู่คนเดียว?
เซ้นของเวินหนิงบอกเธอว่า ในนี้ต้องมีเงื่อนงำ
“อันหราน ลูกอย่าพึ่งร้อง เรื่องนี้เป็นยังไง ยังไม่มีใครรู้ ลูกบอกแม่ก่อนว่าสั่งอะไรไปบ้าง แล้วอาหารที่สั่งยังอยู่มั้ย?”
พอได้ยินเสียงที่อบอุ่นเหมือนคำพูดปลอบโยนนั้นลู่อันกรานก็ใจเย็นลง เช็ดน้ำตาออก“ใบเสร็จยังอยู่ แต่ของที่กินเหลือผมเอาไปทิ้งหมดแล้ว”
“เราไปเก็บของกลับมาก่อน เดี๋ยวหาคนไปตรวจสอบให้”
เวินหนิงนิ่งคิดว่า เรื่องร้ายแรงขนาดนี้ ต้องมีคำอธิบายให้ได้ เพราะฉะนั้นเธอรีบให้ลู่อันหรานพาเธอไปที่ถังขยะที่พวกเขาทิ้งอาหารลงไป
แต่พอทั้งสองไปถึง ของที่ถูกทิ้งถูกแม่บ้านทำความสะอาดเก็บไปหมดแล้ว
เวินหนิงถามคนแถวนั้น ขยะที่อยู่ตรงนั้นถูกคนเก็บไปทิ้งที่กองขยะ หากลับมาไม่ได้แล้ว
เวินหนิงย่นคิ้วเข้าหากันทันที แบบนี้จะทำยังไงดี หลักฐานที่สำคัญที่สุดไม่มีแล้ว
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้……”ลู่อันหรานรู้สึกหัวเสียขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าไป๋ซินหรานจะเป็นแบบนี้ ไม่อย่างงั้นล่ะก็ ตีให้ตายยังไงเขาก็ไม่ทิ้งของพวกนั้นหรอก
“ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องมีวิธีอื่น ช่างมันเถอะ เรากลับไปรอไป๋ซินหรานออกมาจากห้องฉุกเฉินกันก่อน”
ถึงแม้เวินหนิงก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่เธอไม่อยากให้ลู่อันหรานไม่สบายใจ จึงพูดปลอบเขาไป
ทั้งสองเดินกลับมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน รอได้สักพัก ในที่สุดการผ่าตัดก็เสร็จสิ้นสักที
ไป๋ซินหรานถูกคนเข็นออกมาจากห้อง ใบหน้าเล็กๆนั่นซีดขาว และยังคงหลับไม่ได้สติ
“คุณหมอคะ เด็กเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ยังโชคดีนะครับที่ไปเจอเร็ว เราได้ล้างกะเพาะแล้วเปลี่ยนเลือดให้ ในที่สุดก็ช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ แต่คุณเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนี้หรือเปล่า?”
คุณหมอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เวินหนิงพยักหน้ารับ
“คุณเป็นผู้ปกครองก็ดูแลเด็กหน่อย เด็กคนนี้กินยาที่อยู่ในห้องคนไข้เข้าไป แล้วแพ้สารที่อยู่ในยาอย่างรุนแรงเลยเป็นอย่างที่เห็น เด็กเล็กขนาดนี้ เป็นผู้ใหญ่ก็ต้องระวังหน่อย คราวนี้เป็นเพราะเธอนั้นโชคดี ไม่ได้ทานเข้าไปในปริมาณที่มาก ถ้าทานเข้าไปเยอะกว่านี้อีกนิดเดียวละก็ คิดว่าคงจะช่วยกลับมาไม่ได้แล้ว!”
เวินหนิงถูกคุณหมอเทศน์ไปสะเยอะ เธอไม่กล้าที่จะแย้งขึ้นเลย ได้แต่ก้มหน้าขอโทษตลอด
เห็นว่าท่าทางของเธอยังดี คุณหมอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก บอกคำแนะนำให้ไม่กี่ประโยคก็ให้เธอเข้าไปดูอาการของไป๋ซินหรานก็เดินจากไป
เวินหนิงมองใบหน้าที่ซีดเซียวของเด็กผู้หญิงก็รู้สึกผิดอย่างมาก
ลู่อันหรานก็ได้ยินในสิ่งที่คุณหมอพูดไปทั้งหมดแล้ว
เขานิ่งคิด รู้สึกมันมีตรงไหนแปลกๆ
เขากับไป๋ซินหรานอยู่ในห้องของพ่อด้วยกันตลอดเวลา นอกจากตอนที่เธอไปเข้าห้องน้ำ ก็ไม่ได้มีช่วงไหนที่อยู่ห่างกันเลย
เขาจำไม่ได้เลยว่าไป๋ซินหรานไปกินยาในห้องคนไข้ตั้งแต่เมื่อไหร่