“อืม?”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ทุกคนก็หันไปมองชายหนุ่มคนนั้น
ชายหนุ่มกอดดาบยาวไว้ที่หน้าอก สีหน้าของเค้าเย็นชาเหมือนดาบ ดวงตาของเค้ามีสีแดงเข้มจางๆ มันดูน่าเกรงขามอย่างแปลกๆ
“ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบในการนำทีม” โจวติ่งพูดขึ้นมาอย่างเฉยชา “เรื่องอื่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“มันก็จะบอกว่า ต่อให้มีคนตาย ก็สมควรแล้วอย่างงั้นสินะ?” ชายหนุ่มยังคงถามต่อ
“ใช่” โจวติ่งพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วพูดว่า: “แล้วถ้าซูหยู่หรือฮั่นจิ่วเถียนตายล่ะ?”
สีหน้าของโจวติ่งก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เค้าพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “อย่าไร้สาระให้มันมาก”
ช่างเป็นเรื่องตลกซะจริงๆ โจวติ่งเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของคนอื่นได้ แต่เค้าจะไม่มีวันนิ่งเฉยต่อลูกหลานของตระกูลใหญ่พวกนี้
สีหน้าของซูหยู่ก็เย็นชาลงเหมือนกัน เค้ามองไปที่ชายหนุ่มแล้วพูดว่า: “แกชื่ออะไร?”
“เย่อจุน” สีหน้าของชายหนุ่มก็ไม่เปลี่ยนไปเลย
ซูหยู่ก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา: “เย่อจุน? เอาหล่ะ ฉันจะจำชื่อแกไว้”
เมื่อทุกคนเห็นแบบนี้ พวกเค้าก็ไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาในใจ
เย่อจุนอะไรกัน? มีตระกูลใหญ่ในเมืองจิงตูที่มีนามสกุลเย่ออย่างงั้นด้วยเหรอ?
นอกจากเย่อชิงยุนแล้วในสำนักงานความมั่นคงดูเหมือนว่าไม่มีคนที่มีฝีมือคนไหนที่นามสกุลเย่อเลย?
ไม่มีคุณสมบัติอะไรเลย ยังจะกล้ามาอวดดีอีก?
ซูหยู่ไม่สนใจเย่อจุนเลย แต่เค้ากำลังมองไปที่หยูเหม่ยเหริน
ใบหน้าที่สวยงามของหยูเหม่ยเหรินก็เปลี่ยนไปในทันที หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมา
หลังจากนั้น ซูหยู่ก็ยื่นมือออกมาและลูบผมของหยูหม่ยเหริน
มันเห็นเพียงแค่ซูหยู่ที่ใช้กำลัง ส่วนหยูเหม่ยหรินก็สั้นทั้งตัวด้วยความกลัว
“หยิบของขึ้นมา” ซูหยู่พูดอย่างเย็นชา “คุกเข่าลง”
สีหน้าของหยูเหม่ยเหรินก็เปลี่ยนไปในทันที แววตาของเธอก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
และซูหยู่กระชากเข้าไปที่ผมของหยูเหม่ยเหริน สิ่งที่เค้าทำมันก็ค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้ว
ซูฉีไห่เองก็ทำแบบนี้มาโดยตลอด ส่วนซูหยู่ที่เป็นลูกชายของเค้าก็ทำแบบเดียวกันกับพ่อของเค้าเป็นงานอดิเรก
ฉินเฉิงตะโกนด่าขึ้นมาอย่างเย็นชา: “ซูหยู่แกยังเป็นผู้ชายอยู่ไหม แม้แต่ผู้หญิงแกยังรังแกอีกเหรอ?”
ซูหยู่เยาะเย้ย: “ในความคิดของฉัน ไม่ว่าจะชายหรือหญิงมันก็ไม่มีความแตกต่างอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับใคร ฉันก็ไม่จำเป็นต้องสนใจความคิดแก”
หลังจากพูดจบ ซูหยู่ก็ออกแรงแล้วบังคับให้หยูเหม่ยเหรินเปิดปากออก
“ในสายตาของทุกคน การที่คุณชายซูทำแบบนี้ มันก็ไม่ถูกนะ”
ในตอนนี้เอง จู้เหยาจากตระกูลจู้ก็พูดขึ้นมา
แม้ว่าใบหน้าของเธอจะถูกคลุมด้วยผ้าคลุม แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงท่าทีและความรู้สึกของเธอ
ซูหยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เค้าหันกลับมาแล้วพูดว่า: “ถ้าคุณหนูจู้ไม่อยากเห็น งั้นก็หันไปทางอื่นสิ”
จู้เหยาก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา: “ในฐานะคุณชายตระกูลซู นายจะมาทำเรื่องหยาบคายในที่สาธารณะแบบนี้เนี่ยนะ นายไม่กลัวที่จะถูกหัวเราะเยาะเหรอ?”
“ที่คุณหนูจู้พูดมันก็จริง” เถิงเอ๋อร์พยักหน้าและหัวเราะ
เถิงอาวคนนี้ เค้าแอบรักคุณหนูจู้มาหลายปีแล้ว นี่มันก็ทำให้เค้าเห็นด้วยกับคำพูดของคุณหนูจู้อย่างไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย
ซูหยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย การคนสองคนจากตระกูลชนชั้นนำพูดออกมาแบบนี้ แม้แต่ซูหยู่เองก็ยังต้องรักษาหน้าตาของตัวเอง
“เอาหละ” ซูหยู่ปล่อยหยูเหม่ยเหรินทิ้งไป เค้าเยาะเย้ยว่า “ไม่ต้องห่วง โอกาสยังมีอีกมาก”
หยูเหม่ยเหรินนั่งยองๆอยู่ที่พื้น สีหน้าของเธอซีดด้วยความกลัว เธอหอบครั้งแล้วครั้งเล่า
จากนั้นเธอก็รีบลุกขึ้นแล้วพูดกับจู้เหยาว่า: “ขอบคุณนะคะ คุณหนูจู้”
อย่างไรก็ตาม จู้เหยาก็ไม่สนใจเธอเลย
“ได้เวลาแล้วหละ เข้าไปได้แล้ว” ในตอนนี้เอง โจวติ่งก็พูดขึ้นมา
ดังนั้น ทุกคนก็เลยเดินไปที่สถานที่แห่งประสบการณ์ที่โชกโชนนี้ด้วยกัน
หยูเหม่ยเหรินก็ประคองฉินเฉิงขึ้นมาอย่างยากลำบาก ในตอนที่ยืนอยู่ที่ทางเข้านี้ หยูเหม่ยเหรินก็ไม่ค่อยแน่ใจ
“เธอจะไปก่อนไหม” ฉินเฉิงขมวดคิ้วแล้วมองไปที่หยูเหม่ยเหริน
แต่หยูเหม่ยเหรินก็ส่ายหัวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า: “มันไม่ง่ายเลยนะที่จะมาที่นี่ การจะไปแบบนี้ มันก็ง่ายไปหน่อย”
ฉินเฉิงเงียบไปอยู่ซักพัก จากนั้นเค้าก็ส่ายหัวขึ้นมาอย่างไม่รู้ว่าจำทำยังไงดี
เมื่อมองไปที่ซูหยู่ ในใจฉินเฉิงก็เป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
หยูเหม่ยเหรินมีความทะเยอทะยานมาก มันไม่รู้เลยว่าเธอใช้เงินไปเท่าไหร่เพื่อให้ได้มาที่สถานที่แห่งนี้
เธอจะไม่มีวันยอมปล่อยมันไปง่ายๆอย่างแน่นอน
ดังนั้นเธอก็เลยประคองฉินเฉิงขึ้นมาแล้วไล่ตามไปด้วยกัน
สถานที่แห่งประสบการณ์ที่โชกโชนนี้มันใหญ่โตมากและโลหิตแห่งจิตวิญญาณที่โจวติ่งพูดขึ้นมานั้นมันก็ยังไม่ปรากฎขึ้นมา
เนื่องจากที่นี่มันเป็นโบราณสถาน พลังหยินก็เลยมีทั้งตามขวางและตามนอนแล้วมันก็ยังครอบคลุมพลังโลหิตแห่งจิตวิญญาณโดยตรง
ภายใต้การนำทางของโจวติ่ง พวกเค้าก็เลยสามารถหลีกเลี่ยงรูปแบบของกับดักสังหารได้อย่างง่ายดาย การเดินทางมันก็เลยค่อนข้างราบลื่น
แต่ด้วยการรบกวนของพลังหยิน ร่างกายของทุกคนเริ่มแสดงอาการไม่สบายตัวขึ้นมา แม้แต่จอมยุทธ์เองก็ยังเหนื่อยหอบ
“ทุกคนหยุดพักที่นี่ชั่วคราวหละกัน” โจวติ่งพูดขึ้นมาเบาๆ “เพื่อให้แน่ใจว่าการเดินทางของทุกคนจะราบรื่น สมาคมศิลปะการต่อสู้ได้เตรียมยาเพื่อต่อต้านพลังหยินมาเป็นพิเศษ”
ทันทีที่เค้าพูดจบ มันก็เห็นฝ่ามือของโจวติ่งที่พลิกกลับมาแล้วเม็ดยามากกว่า ยี่สิบเม็ดก็ตกลงมาบนฝ่ามือของเค้า
“หัวหน้าโจว ทุกคนจะได้รับยานี้เหรอนครับ” มีคนถามขึ้นมา
โจวติ่งพยักหน้าแล้วพูดว่า: “คนละเม็ด ยกเว้นสามคน”
เมื่อมองไปรอบๆโจวติ่งก็ชี้นิ้วไปที่ฉินเฉิง หยูเหม่ยเหรินและเย่อจุน
เย่อจุนก็ขมวดคิ้วและพูดว่า: “หัวหน้าโจว ถ้าฉันจำไม่ผิด สมาคมศิลปะการต่อสู้ได้เตรียมมันไว้สำหรับทุกคนอย่างพอดี ทำไมเราสามคนถึงไม่ได้มันล่ะ?”
“ก็ไม่ทำไม” โจวติ่งพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “เพราะว่าฉันไม่ชอบพวกเธอก็แค่นั้น”
เย่อจุนพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ: “ในฐานะหัวหน้าทีม การที่คุณพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ คุณไม่ละอายแก่ใจของตัวเองบ้างเลยเหรอ?”
“รนหาที่ตาย!” โจวติ่งโกรธจัด เค้าตบเข้าไปที่หน้าอกของเย่อจุนอย่างแรง!
ร่างของเย่อจุนกระเด็นออกไปในทันที มันไม่รู้เลยว่ามีหินกี่ก้อนที่ถูกร่างของเค้ากระแทกขนแหลกเพื่อให้เค้าหยุดการกระเด็นออกไปได้
“ถ้าแกยังกล้าพูดเรื่องไร้สาระอีก ฉันจะฆ่าแกซะ” โจวติ่งพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
เย่อจุนก็ลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก เค้าเช็ดเลือดที่มุมปากของตัวเองแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมา
หลังจากนั้น โจวจิ่งก็ได้มอบยาในมือให้กับสมาชิกในทีมที่เหลือ
หลังจากกินยาเข้าไปแล้ว พลังหยินในร่างกายก็สั่นไหวและความรู้สึกอบอุ่นมันก็ไหลไปทั่วร่างกายของพวกเค้า
“ท้องฟ้ามันมืดแล้ว ทุกคนพักที่นี่ชั่วครามก่อนก็แล้วกัน” โจวติ่งพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
หลังจากพูดออกมาแบบนี้แล้ว โจวติ่งก็เหลือบมองไปที่ซูหยู่
ซูหยู่ก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มในทันที
สถานที่แห่งประสบการณ์ที่โชกโชนนี้ มันอยู่ห่างไกลมาก บริเวณรอบๆก็ไม่มีใครอยู่เลย
ภายใต้อิทธิพลของพลังหยิน ทุกคนดูเหมือนจะหมดแรงแล้วเผลอหลับไป
“ฉันทนไม่ไหวแล้ว” หยูเหม่ยเหรินจับไปที่หัวของตัวเอง เธอดูอ่อนแรง
ฉินเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เค้ายกมือขึ้นมาแล้ววางมันลงบนหน้าผากของหยูเหม่ยเหริน จากนั้นพลังปราณก็ค่อยๆไหลเข้าไปหาเธอ
ในตอนนี้เอง ซูหยู่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ดี