ขณะนั้นเอง สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องมารวมอยู่ที่ตู้เยี่ยทั้งหมด
ผู้ที่ตื่นเต้นมากที่สุด ก็คงจะเป็นซ่งอวิ้นอัน
อวี้อี่มั่วยกแก้วขึ้นมา จากนั้นก็ดื่มเหล้าที่อยู่ในแก้วไปหนึ่งอึก พร้อมเอ่ยขึ้นมาน้ำเสียงราบเรียบ “จะพูดอะไร ?”
สองมือของซ่งอวิ้นอันกุมแน่นเข้าหากัน เหงื่อเย็น ๆ ผุดออกมาจากฝ่ามืออย่างเหนือการควบคุม พร้อมจ้องไปยังริมฝีปากของตู้เยี่ยไม่ละสายตา หัวสมองกำลังทำงานอย่างรวดเร็ว
เธอจะห้ามปรามเขาอย่างไรดี !
และในขณะนั้นเองตู้เยี่ยก็ปริปากเอ่ยขึ้นมาเสียงเบาว่า “ผมอยากลางานสักสองสามวันหน่อยครับ”
จากนั้น เขาก็กลับหลังหันมองไปยังซ่งอวิ้นอัน มุมริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย “ผมว่าจะอยู่กับแฟนผมอย่างเต็มที่สักหน่อย”
“แฟนงั้นเหรอ” คำพูดที่เปล่งออกมาราวกับฟ้าผ่า รุนแรงจนทำให้หัวสมองของซ่งอวิ้นอันว่างเปล่าทันใด
หลายวินาทีผ่านไป เธอเรียกสติกลับคืนมาได้ทันที จึงรีบเอ่ยปฏิเสธขึ้น “ใครเป็นแฟนของคุณกัน !”
ตู้เยี่ยยังคงยิ้มอย่างใจเย็นเช่นเคย จากนั้นก็ได้ถามกลับไปเสียงเบาว่า “ไม่ใช่เหรอ ?”
เมื่อเห็นนัยน์ตาอันระยิบระยับของตู่เยี่ย ซ่งอวิ้นอันจึงรู้สึกจุกที่ลำคอ พูดอะไรไม่ออกขึ้นมาทันที
ถ้าหากเธอบอกว่าไม่ใช่ ก็กลัวว่าตู่เยี่ยจะโพล่งเรื่องนั้นออกมา นี่เขากำลังข่มขู่เธออยู่ลึก ๆ ชัด ๆ ! จึงได้จงใจเอ่ยเช่นนี้ขึ้นมาต่อหน้าอวี้อี่มั่ว !
ซ่งอวิ้นอันโมโหจนต้องกัดฟันแน่ ทว่าตนราวกับเป็นคนใบ้ที่กินสมุนไพรอึ่งน้อยเข้าไป อาเจียนอย่างไรก็ไม่ออก พูดอย่างไรก็พูดไม่ออก เธอเงยหน้าขึ้นมามองไปยังหร่วนซือซือ เมื่อเห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์และเป็นมิตรของเธอ จึงรู้สึกใจอ่อนปวกเปียกขึ้นมาทันทีทันใด
ต่อให้ต้องปกปิดความลับนี้ไว้เพื่อหร่วนซือซือ เธอเองจึงจำใจตอบตกลงเท่านั้น
เธอสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความไม่เต็มใจนัก ถือว่าเป็นการตอบตกลง
ตู้เยี่ยเห็นดังนั้น มุมริมฝีปากก็ยกขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นมือเข้าไปหมายจะจับมือของซ่งอวิ้นอัน ทว่าเขากลับลังเลชั่วครู่ สุดท้ายก็ต้องชักมือกลับคืนมาอยู่ดี
อวี้อี่มั่วนั่งอยู่ตรงนั้น ภายในแววตาลึก ๆ ผุดเป็นรอยยิ้มขึ้นมา เขาเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ “อนุญาต”
ตู้เยี่ยฉีกยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็ยิ้มให้เขาและหร่วนซือซือ “ถ้างั้นพวกเราขอตัวก่อนนะครับ”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น เขาก็ยื่นมือออกมาจับมือซ่งอวิ้นอัน นัยน์ตาแวววาวพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “เดี๋ยวผมพาคุณไปที่ที่หนึ่ง”
ซ่งอวิ้นอันรู้สึกไม่เต็มใจเท่าไร เธอถูกเขากึ่งฉุดกระชากเดินไป “ไปไหนเหรอ ?”
ตู้เยี่ยปกปิดความปิติเอาไว้ไม่อยู่ ซ่งอวิ้นอันไม่พอใจเล็กน้อย ทั้งสองคนราวกับเป็นคนรักกันที่เพิ่งหายจากการทะเลาะกัน ทั้งน่าขันและน่ารักในเวลาเดียวกัน
หร่วนซือซือเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็มองไปยังแผ่นหลังของพวกเขาทั้งสองคน มุมปากก็ยกขึ้นมาโดยธรรมชาติ
เธอมองออกว่าซ่งอวิ้นอันเองก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้กับตู้เยี่ยอยู่บ้าง อีกทั้งตู้เยี่ยราวกับเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งมีความรัก เพิ่งจะเข้าใจในความรักอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นความชอบ รักใคร่และความสนใจต่างก็เขียนอยู่ในแววตาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แขวนอยู่บนใบหน้า
“อิจฉาเหรอ ?”
น้ำเสียงอันเยือกเย็นของชายหนุ่มดังเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม หร่วนซือซือจึงเรียกสติกลับคืนมาได้อย่างช้า ๆ
เธอสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ชักสายตากลับมองไปยังอวี้อี่มั่ว พร้อมเอ่ยขึ้นมาน้ำเสียงราบเรียบ “อิจฉาแล้วจะทำไม ?”
อวี้อี่มั่วยักคิ้วขึ้น จากนั้นก็ปริปากถามขึ้นมาราวกับตั้งใจที่จะถาม “ทำไม ? ซ่งเย้อันให้ความรู้สึกหวานแหววกับคุณไม่ได้งั้นเหรอ ?”
สิ้นเสียง หร่วนซือซือก็สีหน้าเขียวปี๋ไม่พอใจขึ้นมาทันที เธอกรอกตาให้อวี้อี่มั่ว “ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”
พูดจบเธอก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมา จากนั้นก็กระดกจนหมดเกลี้ยง เวลาต่อมาก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นสีหน้าจริงจัง “มื้อเย็นจบแล้ว ลาก่อนค่ะ”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เธอก็สาวเท้ามุ่งไปยังประตูทันที
ซ่งอวิ้นอันและตู้เยี่ยไปกันหมดแล้ว เธอไม่อยากที่จะอยู่กับอวี้อี่มั่วสองต่อสองแต่อย่างใด เมื่อสักครู่ที่เขาเอ่ยขึ้นถามเธอนั้นทำให้เธอแทบกระอัก
เธอเพิ่งจะก้าวได้สองก้าว ก็มีเสียงสาวเท้าดังขึ้นมาข้างลำตัว จากนั้น น้ำเสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมาข้างใบหู “เดี๋ยวผมไปส่ง”
หร่วนซือซือปฏิเสธทันควัน “เดี๋ยวฉันนั่งรถไฟใต้ดินค่ะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมนั่งเป็นเพื่อน”
หร่วนซือซืออึ้งไปชั่วขณะ พร้อมหันหน้ามองชายหนุ่มด้วยความตกตะลึง แววตาของเธอราวกับมองเห็นสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
คาดไม่ถึงเลยว่าอวี้อี่มั่วจะปริปากบอกว่าจะนั่งรถไฟใต้ดินเป็นเพื่อนเธอ เธอไม่ได้หูแว่วไปจริง ๆ ใช่ไหม ?
เมื่อเห็นแววตาของเธอ อวี้อี่มั่วก็ยิ้มเบา ๆ พร้อมเอ่ยขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ “ผมดื่มเหล้า ตู้เยี่ยก็กลับไปแล้ว ไม่มีใครขับรถให้น่ะ”
หร่วนซือซือได้ยินดังนั้น ก็เพิ่งจะเข้าใจขึ้นมา
เขาจะอยากส่งเธอกลับบ้านที่ไหนกัน เห็นชัด ๆ ว่าเขากลับเองไม่ได้ต่างหาก
แววตาของหร่วนซือซือมีความไม่สบอารมณ์ผุดขึ้นมา เธอไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ เพียงแค่เดินหน้าต่อเท่านั้น
ใครจะไปทราบว่า ขณะนั้นเองชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “แต่ว่า นอกจากนั่งรถไฟใต้ดินแล้ว ผมยังมีตัวเลือกอีกเยอะ”
หร่วนซือซือตกตะลึงไปทันที มองเขาราวกับมองสัตว์ประหลาด
เธอไม่ได้เอ่ยอันใดแท้ ๆ ทว่าอวี้อี่มั่วราวกับได้ยินเสียงที่อยู่ในใจของเธอ สามารถจับได้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ผู้ชายคนนี้ น่ากลัวจริง ๆ
หร่วนซือซือตะลึงงัน จากนั้นก็สาวเท้าเร็วขึ้นโดยสันชาตญาณ ครั้นใครจะไปรู้ว่าอวี้อี่มั่วนั้นสาวเท้ายาวเป็นอย่างมาก เดินมาสักครู่หนึ่ง อวี้อี่มั่วก็ไม่ได้มีการตอบสนองใด ๆ ทว่าดันเป็นเธอที่เหนื่อยจนต้องหายใจหอบ
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาว อวี้อี่มั่วก็ยิ้มอ่อน ๆ อยู่ข้าง ๆ ไม่ได้เอ่ยอันใด เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นก็จิ้มหน้าจอ
เมื่อเดินออกจากโซโก้พลาซ่า พวกเขาเพิ่งจะเดินมาอยู่ข้างทาง หร่วนซือซือกำลังจะเดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ทว่ากลับมีมือมาคว้าแขนพร้อมลากเธอไป
จากนั้นก็มีรถตู้สีดำคันหนึ่งขับมาจอดอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
หร่วนซือซือถูกอวี้อี่มั่วลากไปยังหน้าประตูรถ จากนั้นก็ถูกจับยัดเข้าไปในตัวรถทันที
หร่วนซือซือตะลึงงันไป พร้อมมองไปยังผู้ชายที่กำลังขึ้นรถมาอีกฝั่งหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว ภายในหัวสมองเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เมื่อครู่คุยกันดิบดีว่าจะนั่งรถไฟใต้ดินไม่ใช่หรือ ? ผู้ชายคนนี้ เหตุใดจึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วเสียยิ่งกว่าผู้หญิงอีก ?
เธออ้าปากขึ้น ครั้นยังไม่ทันได้เปล่งเสียงออก ผู้ชายข้าง ๆ ก็ปิดประตูรถแล้ว พร้อมเอ่ยขึ้นน้ำเสียงราบเรียบว่า “เห็นคุณเหนื่อยน่ะ ก็เลยเรียกคนขับรถมารับ”
หร่วนซือซือได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อย
อวี้อี่มั่วกำลังเห็นใจเธออยู่งั้นหรือ ? ทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นผู้ที่ถูกรักและเอาใจใส่จนประหลาดใจเสียจริง
อวี้อี่มั่วบอกที่อยู่กับคนขับรถไป จากนั้นก็หันหน้ามองไปยังหร่วนซือซือ แววตามีรอยยิ้มและการดูเชิงผุดขึ้นมา
หร่วนซือซือถูกเขาจ้องจนขนลุกซู่ จึงได้ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “มีอะไรหรือเปล่าคะ ?”
“คุณเห็นตู้เยี่ยกับซ่งอวิ้นอันไหม ?”
หร่วนซือซือได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม อวี้อี่มั่วที่ปกติแล้วจะเคร่งขรึมมาโดยตลอดกลับสนใจเรื่องชาวบ้านด้วยหรือนี่ ! ทำให้เธอรู้สึกเหนือความคาดหมายจริง ๆ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เธอก็สูดหายใจเข้าลึก พร้อมพยักหน้า “ดูให้ดี ๆ”
อวี้อี่มั่วยิ้มเบา ๆ “กลับไปกลับมา พัวพันกันไม่หยุด”
หร่วนซือซือขมวดคิ้ว “คุณรู้ได้ยังไง ?”
น้ำเสียงอันแน่วแน่ของเขา ราวกับเป็นอาจารย์ดูดวงอย่างไรอย่างนั้น
“สัมผัสที่หกน่ะ”
หร่วนซือซือยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “ล้อเล่นน่า”
สัมผัสที่หกของผู้ชาย ไม่เคยที่จะตรงมาแต่ไหนแต่ไร
อวี้อี่มั่วยักคิ้วขึ้น แววตามีความหยอกล้อผุดขึ้นมา “ถ้างั้นมาพนันกันไหมล่ะ ?”
“พนันอะไร ?”
“มีข้อต้องการเดียว”
หร่วนซือซือเงยหน้าขึ้นมา มองแววตาอันจริงจังของชายหนุ่ม ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา
ถ้าหากว่าเธอแพ้จริง ๆ ผีก็ยังรู้เลยว่าเขาจะมีข้อต้องการอะไร ทว่า ถ้าหากเธอชนะ ถ้าเธอต้องการวิดีโอนั้น เขาจะให้เธอหรือไม่ ?
มองดูแววตาอันลังเลของหญิงสาว อวี้อี่มั่วก็เดาออกแล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ถ้าคุณชนะ แล้วแต่คุณจะต้องการอะไร ผมจะตอบตกลงหมด”
หร่วนซือซือรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ลำคอแห้งผากเล็กน้อย “รวมถึงวิดีโอนั่นด้วย……”
ชายหนุ่มตอบตกลงไปโดยไม่ลังเลสักนิด “อืม”
หร่วนซือซือรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธอสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็พูดว่า “โอเค งั้นเรามาพนันกัน”
ต่อให้เพื่อเป็นการชนะการพนันครั้งนี้ เธอจะต้องนัดแนะกับอันอัน บอกว่าอย่าให้เธอเลิกกับตู่เยี่ยในช่วงนี้อย่างแน่นอน……
เมื่อคิดเช่นนี้ ชัยชนะของเธอก็มีเพิ่มมากขึ้นแล้ว
เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวมีความยินดีผุดขึ้นมา มุมปากของอวี้อี่มั่วยกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
คิดไม่ถึงว่าปลาจะติดกับง่ายดายถึงเพียงนี้
ถ้าหากว่าเขาชนะ จะต้องเห็นคุณค่าของคำร้องขอนี้ไว้ให้ดี อย่างน้อยจะต้องจับเธอไว้ให้แน่นสิถึงจะถูกต้อง