ดั่งรักบันดาล – บทที่ 417 อยู่เป็นเพื่อนเขา

บทที่ 417 อยู่เป็นเพื่อนเขา

หร่วนซือซือที่พักดูอาการอยู่ทั้งบ่าย เมื่อเช็กดีแล้วว่าไม่มีอาการแทรกซ้อน

แต่ซ่งเย้อันก็กลัวว่าเธอจะขยับตัวมากเกินไป เขาจึงสั่งอาหารไปที่ห้องพัก กิจกรรมกลางคืนที่เตรียมไว้ถูกยกเลิกจนหมด เปลี่ยนเป็นเล่นเกมในห้องแทน

เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว หร่วนซือซือก็เล่นเกมด้วยกันสักพัก หลังจากนั้นก็ดูสองเด็กเต้นรำกัน เธอรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเป็นกอง

“คืนนี้ฉันจะพาเซินเซินและซาซาไปที่ห้องของฉัน เธอพักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้ถ้าเกิดเธออยากจะกลับแล้ว เราค่อยกลับบ้านกัน”

ซ่งเย้อันพูดพลางไปรินน้ำชาอุ่นๆให้เธออย่างใส่ใจ

ซ่งเย้อันดูแลเธออย่างดีมาทั้งคืน หร่วนซือซือจดจำทุกรายละเอียดด้วยตา และอบอุ่นที่หัวใจ เธอรีบพยักหน้า แล้วพูดขึ้นว่า : “ตามแผนนายเลย”

ทั้งคู่สบตายิ้มให้ซึ่งกันและกัน จู่ๆบรรยากาศก็เริ่มกลมกลืนอย่างบอกไม่ถูก

ซ่งเย้อันหรี่ตาลง แขนของเขาจับไหล่ทั้งสองของหร่วนซือซือไว้แน่น ค่อยๆขยับเข้าหาหร่วนซือๆทีละนิด ทีละนิด……

ทุกอย่างเป็นไปอย่างธรรมชาติ แต่วินาทีที่ริมฝีปากของเขาจะมาสัมผัสปากของหร่วนซือซือนั้น จู่ๆหร่วนซือซือก็สะดุ้ง เธอเอนตัวถอยห่างอย่างไม่รู้ตัว

วินาทีนั้นเอง บรรยากาศที่คลุมเครือและกลมกลืนก็สลายหายไป แต่กลับพาความเยือกเย็นมาแทน

เธอมองหน้าซ่งเย้อันด้วยความตกใจ เธอที่เพิ่งได้สติ และเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป ทุกอย่างเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่เกิดขึ้นเองอัตโนมัติ โดยไม่ได้ผ่านสมองเลย

รู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆอึดอัดไปหมด เธอสุดลมหายใจเข้า และใช้รอยยิ้มเป็นการอธิบาย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เซินเซินและซาซายังอยู่ ทำแบบนี้ไม่ดีมั้ง……”

ซ่งเย้อันพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดว่า : “อืม ฉันลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป”

พูดจบ เขาก็ยิ้มพร้อมกับกุมมือของเธอไว้ พูดกึ่งล้อเล่นว่า : “สองเด็กก็เหมือนกับก้างขวางคอสองก้าง”

หร่วนซือซือก็ยิ้มขึ้นมา แต่ภายในใจกลับไม่ได้ดีใจเลย เธอหรี่ตาลง พยายามปกปิดอารมณ์ของตัวเอง

มีแค่ตัวเธอเองที่รู้ดีที่สุด ว่าเมื่อกี้ที่ปฏิเสธเขาไป ไม่ได้เป็นเพราะเซินเซินและซาซาอยู่ตรงนั้น แต่มันเป็นการกระทำของจิตใต้สำนึก……

พูดง่ายๆว่า เธอเองไม่ได้เปิดใจรับเขาอย่างเต็มที่

เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกผิดกับซ่งเย้อันเข้าไปใหญ่

เมื่ออาหารค่ำเกมและกิจกรรมต่างๆจบลง ซ่งเย้อันก็พาเซินเซินและซาซาไปอาบน้ำ และเธอก็กลับสู่ห้องพักของเธอเอง

เมื่อประตูปิดลง ราวกับว่าได้ตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว หร่วนซือซือก็เริ่มคิดอะไรไปต่างๆนานาเยอะแยะมากมายอย่างไม่รู้ตัว

ในห้วงความคิดของเธอนั้น สิ่งที่ปรากฏมากที่สุดก็คือใบหน้าของอวี้อี่มั่ว!

ผ่านไปราวสองชั่วโมง หร่วนซือซือที่นอนพลิกไปมาบนเตียง โดยที่ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด

เธอรู้สึกว่าอยากไปดูอวี้อี่มั่ว ดูว่าอาการของเขาเป็นยังไงบ้างแล้ว จะสาหัสเหมือนที่ตู้เยี่ยพูดไว้หรือเปล่า

หร่วนซือซือยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลใจไปกันใหญ่ สุดท้าย เธอก็ไม่สามารถแบกรับความกังวลใจและความอยากรู้อยากเห็นต่อไปได้ เธอจึงลุกขึ้นแล้วค่อยๆลงจากเตียงช้าๆ

เซินเซินและซาซาหลับไปแล้ว ห้องของซ่งเย้อันก็เงียบสนิท ไม่มีเสียงอะไรเลย

หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า สวมเสื้อคลุม แล้วค่อยๆออกจากห้องของตัวเองไป

เมื่อเธอออกไปแล้ว เดินหาอยู่พักใหญ่ ถามข้อมูลจากพนักงานหลายๆคน จนเพิ่งหาเบอร์ห้องของอวี้อี่มั่วเจอ

เมื่อหาห้องของเขาเจอแล้ว หร่วนซือซือกลับยืนอยู่หน้าประตู ไม่มีความกล้าพอที่จะเคาะประตู

เมื่อกี้ก่อนที่จะมา เธอยังมีความมั่นใจอยู่เลย แต่ทำไมพอมาถึงหน้าประตูแล้ว ก็ไม่มีความกล้าหลงเหลือเลยสักนิด

ลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเธอก็ยกมือขึ้นมา เคาะประตูเบาๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้า แล้วมีคนมาเปิดประตู

ตู้เยี่ยยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าเข้มขรึม : “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า : “ฉันอยากมาดูอาการของอวี้อี่มั่วหน่อย”

เขาพูดอย่างเป็นทางการว่า : “ท่านประธานอวี้พักผ่อนไปแล้ว คุณมาใหม่วันหลังนะครับ”

ได้ยินแบบนี้แล้ว หร่วนซือซือขมวดคิ้ว นึกว่าตัวเองจะมาเสียเที่ยวแล้ว แต่จู่ๆก็มีเสียงเข้มขรึมดังขึ้น : “ให้เธอเข้ามา”

หร่วนซือซือหัวใจหน่วงขึ้นมา เธอพยายามเก็บอาการไว้ เงยหน้าขึ้นมามองตู้เยี่ย

ตู้เยี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงหลบทางให้เธอเข้ามา

หร่วนซือซือเดินเข้าไปข้างใน แต่เดินเข้าไปเพียงสองเก้า จู่ๆประตูก็ปิดลง

หร่วนซือซืออึ้งไปเล็กน้อย ไม่นึกว่าตู้เยี่ยจะทำแบบนี้

เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้ทั้งห้องก็เหลือเพียงเธอและอวี้อี่มั่วสองคนเท่านั้น

เมื่อคิดแบบนี้แล้ว หัวใจของหร่วนซือซือก็เริ่มเต้นรัว ไม่สามารถสงบลงได้ เธอเดินไปข้างหน้า มองไปรอบๆห้อง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นอวี้อี่มั่วที่นั่งอยู่บนเตียง

พอดีกับพี่เขาเงยหน้าขึ้น มองไปยังเธอ ทั้งคู่สบตากันอย่างบังเอิญ จู่ๆบรรยากาศรอบๆก็หนักหน่วงขึ้นมา

เพียงชั่วอึดใจ อวี้อี่มั่วก็พูดขึ้นเสียงเข้ม : “มานี่”

หร่วนซือซือรีบมองไปยังแขนของเขาพี่ถูกผ้าพันอยู่ ก็รู้สึกหน่วงขึ้นในใจ เธอจึงค่อยๆเดินเข้าไปหา

ไม่ว่ายังไง อวี้อี่มั่วก็คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอไว้ เธอก็ต้องมาเยี่ยมเขาเป็นธรรมดา งั้นก็ควรแสดงออกมาให้ชัดเจนเลยดีกว่า

หร่วนซือซือเข้ามาในห้องแล้ว เดินมายืนอยู่ข้างๆเตียงเขา สายตามองไปที่แขนของเขา : “อาการบาดเจ็บของคุณ สาหัสไหม?”

“อืม” อวี้อี่มั่วตอบด้วยน้ำเสียงขี้เกียจ และไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย เขาพิงอยู่ที่หัวเตียง วางแขนต่อหน้าหร่วนซือซือให้เห็นชัดเจน

หร่วนซือซือสุดลมหายใจเข้า เมื่อมองแขนของเขาแล้ว ก็รู้สึกหน่วงขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูก เธอพูดขึ้นว่า : “เรื่องวันนี้ ขอบคุณคุณมาก”

ถ้าไม่ใช่เพราะเขา คนที่นอนสภาพแบบนี้อยู่บนเตียงก็คงจะเป็นเธอ

เมื่อเธอพูดจบเขา ก็พูดสวนขึ้นมาทันทีว่า : “พูดขอบคุณ แต่ไม่เห็นจริงใจเลยสักนิด”

หร่วนซือซือที่ได้ยินแล้ว ก็นิ่งไปชั่วครู่ เธอถามขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนว่า : “แล้วคุณต้องการอะไร?”

อวี้อี่มั่วไม่ได้พูดอะไร แต่มองไปที่น้ำบนโต๊ะหัวเตียงแทน

ไม่รอให้หร่วนซือซือได้ทันทำอะไร เขาก็ยื่นแขนที่ถูกพันไปด้วยผ้าก๊อซ ค่อยๆขยับทีละนิด ทีละนิด

แต่แขนที่ถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลนั้น เก้งก้างเกะกะไม่สะดวก แถมยังสั่นอีกด้วย แน่นอนเขาไม่สามารถรินน้ำเองได้

ในใจหร่วนซือซือก็รู้สึกแน่นขึ้นมา เธอจึงรีบเข้าไปช่วยรินน้ำ แล้วหันไปมองหน้าของอวี้อี่มั่ว เธอกัดฟันแน่น พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ฉันป้อนคุณเอง”

ถึงแม้ว่าเมื่อกี้นี้อวี้อี่มั่วเองจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็แสดงออกได้ให้เห็นอย่างชัดเจน ถ้าเธอยังจะไม่กระตือรือร้นกว่านี้ ก็แสดงว่าเธอไม่มีน้ำใจพอ

เธอยกแก้วน้ำขึ้นมา ค่อยๆป้อนให้อวี้อี่มั่ว

อวี้อี่มั่วไม่ได้ปฏิเสธ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

บรรยากาศในห้อง จู่ๆก็เต็มไปด้วยความคลุมเครือ

อวี้อี่มั่วยิ้มขึ้นเบาๆ หลังจากเขาดื่มไปหลายคำแล้ว ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า : “พอแล้ว”

เมื่อได้ยินแล้ว หร่วนซือซือก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เธอรีบนำแก้วน้ำวางลงบนโต๊ะหัวเตียง พูดขึ้นต่อว่า : “ฉันแค่จะมาดูว่าคุณเป็นยังไงบ้าง ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นฉันขอตัวกลับก่อน”

สีหน้าของเขาเรียกเฉย แต่พอหร่วนซือซือหมุนตัวจะกลับ จู่ๆเขาก็ยื่นแขนออกมา จับข้อมือของเธอไว้

หร่วนซือซือที่อึ้งไป รีบหันหน้ามามองเขา : “คุณ…ทำอะไรน่ะ? ปล่อยนะ……”

ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ก็โดนเขาดึงให้นั่งลงบนเตียง แล้วพูดขึ้นเสียงเบาข้างๆหูของเธอว่า : “ถ้าอยากขอบคุณฉันจริงๆ ก็ช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันสักเดี๋ยว”

เวลานี้ ข้างกายเขามีเธอ ก็เพียงพอแล้ว

ดั่งรักบันดาล

ดั่งรักบันดาล

Status: Ongoing

หร่วนซือซือต้องนัดดูตัว แต่อีกฝ่ายคือเจ้านายของเธอ “ประธาน……ประธานอวี้ คุณไปผิดที่รึปล่าว” “หร่วนซือซือ” ชายหนุ่มเรียกชื่อของเธอ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ในเมื่อเราสองคนก็รู้จักกันแล้ว เราก็มาแต่งงานกันเถอะ” “…………..” หลังจากแต่งงานหร่วนซือซือพบว่าชายคนนี้เมื่ออยู่ที่บริษัทเขาจะมีความเด็ดขาดในธุรกิจมาก และเป็นผู้กุมอำนาจของบริษัท และเมื่อเขาอยู่ที่บ้านเขาก็จะอ่อนโยนต่อเธอมาก

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท