ดั่งรักบันดาล – บทที่ 437 ตรวจสอบบัญชี

บทที่ 437 ตรวจสอบบัญชี

หยุนชางรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก นางกำนัลในวังหลวงล้วนแต่มีเส้นสาย อีกทั้งยังไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นคนของใครอีก ทว่าในพระราชวังนั้น มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่ต้องการทำสงครามกับนาง ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือจิ่งเหวินซีและหนิงหัวจิ้ง หากแต่เป็นครั้งแรกที่เห็นฉินเมิ่งสวมเครื่องหัวเป็นลูกปัดดอกไม้ หนิงหัวจิ้งมิได้อยู่ในพระราชวังเสียด้วย เป็นไปได้ว่าอาจะเป็นจิ่งเหวินซีหรือจิ่งขุย?

“เสด็จพ่อ แม้จะช้าไปบ้าง ค้นวังเถิดเพคะ” หยุนชางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย

จักรพรรดิหนิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าเล็กน้อย “ยังมิสายเกินไป วันมะรืนจะถึงงานพระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาแล้ว พรุ่งนี้คงจะไม่มีเวลาให้พักผ่อนสักเท่าใดนัก จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเสียแล้วจึงจะได้ไปพักผ่อนกัน”

“มิต้องทำการค้นวังแล้วก็ได้เพคะ. เพียงค้นตัวนางกำนัลผู้นี้ก็เพียงพอแล้ว” หยุนชางได้ยินดังนั้นจึงเปลี่ยนใจ “ทำเช่นนี้จึงจะไวกว่า”

จักรพรรดิหนิงเมื่อแลเห็นว่าหยุนชางมีแผนการอยู่ในใจแล้ว จึงพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมทั้งเงยหน้าเรียกเจิ้งมามา หากแต่รู้สึกว่าจิ่นกุ้ยเฟยก็เป็นผู้ต้องสงสัยเช่นกัน ทำเช่นนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนัก

หยุนชางเมื่อเห็นลักษณะของจักรพรรดิหนิงแล้ว จึงรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ พลันมุมปากกลับกระตุกยิ้มขึ้น “เสด็จพ่อเพียงหาข้ารับใช้ที่ไว้ใจได้มาเพียงสองคนก็พอแล้วเพคะ”

จักรพรรดิหนิงพลันชะงักไปชั่วครู่ หันกลับมามองหยุนชางแล้วจึงขบคิดอยู่หนึ่ง จึงตะโกนขึ้นมาว่า “ขันทีเจิ้ง เรียกข้ารับใช้มาสองคน”

หยุนชางพลันสังเกตุเห็นสาวใช้ที่ชื่อว่าฉีเอ๋อร์สีหน้าไม่ค่อยดี อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ากำลังเคร่งเครียดอยู่ แม้ว่าข้ารับใช้ส่วนใหญ่จักเป็นผู้ชายที่ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้แล้วนั้น จะอย่างไรเขาก็ยังเป็นผู้ชายอยู่ ถูกผู้ชายค้นตัวแล้ว คงเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนเลยทีเดียว

ฉีเอ๋อร์ถูกกระชากให้นั่งลง ฉินเมิ่งราวกับร่างที่ถูกดูดวิญญาณ พลางคุกเข่าลงกับพื้นอยู่ครู่หนึ่ง พลางเงยหน้าจ้องมองไปยังหยุนชาง ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

หยุนชางเห็นดังนั้น จึงยิ้มตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ นางให้โอกาสฉินเมิ่งหลายครั้งหลายคราแล้ว น่าเสียดายที่ฉินเมิ่งไม่คว้าเอาไว้ ทำลายความเมตตาของนางที่มีให้หมดลงไม่แปลกใจเลย

ผ่านไปสักพัก หัวหน้าเจิ้งจึงพาข้ารับใช้เดินเข้ามา พลางมีถุงเครื่องหอมอยู่ในมือ พร้อมหันหน้าไปหาจักรพรรดิหนิงแล้วรายงานว่า “จักรพรรดิ นู๋ไฉพบสิ่งนี้อยู่บนตัวฉีเอ๋อร์พะยะค่ะ”

สิ่งที่อยู่ภายในถุงเครื่องหอมนั้นคือเนื้อปลากระพงตากแห้ง

ฉีเอ๋อร์เดินตามเข้ามา หากแต่เท้าที่ก้าวเข้ามานั้นราวกับร่างไร้วิญญาณ หยุนชางยิ้มเล็กน้อย ข้ารับใช้ล้วนเป็นผู้ชาย ยากที่จะเปลี่ยนนิสัยกันได้ เกรงว่าตอนค้นร่างกายนั้นคงโดนกระทำไม่น้อยเลย

“เข้ามา กุมตัวเมิ่งเจี๋ยยวี๋และสาวใช้ออกไป หลังจบพระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาแล้วค่อยประหารนาง” น้ำเสียงของจักรพรรดิหนิงเต็มไปด้วยความเฉยชา จึงทำให้เมิ่งเจี๋ยยวี๋เป็นลมล้มพับไปกับพื้นทันที. สาวใช้ผู้นั้นพลางเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “นู๋ปี๋ไม่ยอมรับ แต่เดิมวังจิ่นซิ่วก็มีเนื้อปลากระพงอยู่แล้ว ทำไมถึงมาจับนู๋ปี๋แล้วเจ้านายได้กัน”

หยุนชางได้ยินดังนั้น พลางหัวเราะออกมา “ใครบอกเจ้ากันว่าวังจิ่นซิ่วมีของสิ่งนี้ ?” พลันหยุดไปสักพักจึงพูดขึ้นมาว่า “สาวใช้นางนี้เกรงว่านางจะมิรู้จักการแพทย์ ใช่หรือไม่ เจ้ารู้เพียงว่าปลากระพงสามารถทำให้ตกเลือดได้ ถึงแม้เจ้าจะรู้ว่าวังจิ่นซิ่วได้ไปขอปลากระพงมาจากแพทย์หลวง หากแต่เจ้ามิรู้ว่า ปลากระพงนั้น ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน หากเก็บไว้นานแล้วนำมาต้มนั้นจะทำให้เนื้อเปลี่ยนสี เมื่อเนื้อเปลี่ยนสีแล้ เจ้าคิดว่าหย่าผินจะไม่เห็นเชียวหรือ ? ”

“ท่านชายน้อยอายุมากกว่าสี่เดือนแล้ว นอกจากนี้จิ่นกุ้ยเฟยยังอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งไหลตลอดการตั้งครรถ์. ครั้งสุดท้ายที่อยู่ในวังแห่งนี้คือตอนที่ข้าแต่งงาน จากตอนนั้นถึงตอนนี้ผ่านมาแล้วครึ่งปีแล้ว” หยุนชางพลันเห็นใบหน้าฉีเอ๋อร์ค่อย ๆ ซีดลง นางรู้สึกขบขันมากขึ้น อยากจะใช้วิธีนี้เพื่อฆ่าผู้คน ทว่าสิ่งของที่จะใช้ ตนเองยังมิรู้จักมันอย่างละเอียดเลย

ฉีเอ๋อร์จึงถูกนำตัวไปโดยเร็ว หยุนชางจึงพาจิ่นกุ้ยเฟยกลับวังจิ่นซิ่ว ก่อนจะออกจากวังอีกครั้ง

คราวนี้เกรงว่าฉินเมิ่งจะไม่มีชีวิตรอดเสียแล้ว หยุนชางรู้ดีว่า ฉินเมิ่งเป็นเพียงหมากที่อีกฝ่ายใช้โยนหิมถามทางเท่านั้น หากมิใช่ว่านางได้ยินเรื่องราวบางอย่างมาจากวิหารชิงเฟิงแล้ว หยุนชางอาจจะเชื่อว่านี่คือกลยุทธ์ทั้งหมดของจิ่งเหวินซี ทว่าวันนั้นจิ่งเหวินซีให้ชางเจียคังหนิงพานางเข้าวัง

แม้จะเข้าไปในวังแล้ว เป็นการยากที่จะไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เกรงว่าคงจะเป็นเพียงตลกฉากนึงกระมัง แน่นอนว่านางเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว พิธีแต่งตั้งฮองเฮาวันมะรืนนี้คงเป็นโอกาสที่ทุกคนรอคอย เกรงว่าภายในงานคงจะเต็มไปด้วยสีสันมากมาย

เมื่อคิดถึงแล้ว หยุนชางรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ราวกับการต่อสู้ที่เตรียมการมาเนิ่นนาน กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในใจเต็มไปด้วยความแน่วแน่ที่จะบดขยี้ให้เป็นฝุ่นผง

เมื่อหยุนชางกลับมายังวังจิ้งอ๋องแล้ว พลันเห็นข้างนอกวังจิ้งอ๋องมีเก้าอี้สีฟ้าลวดลายแปลกตาอยู่ “มีแขกงั้นหรือ ? ” หยุนชางพลางหันไปถามยาวเฝ้าหน้าประตูด้วยเสียงนุ่มนวล

ยามที่เฝ้าประตูอยู่นั้น รีบร้อนตอบกลับว่า “เป็น. เป็น. เป็นชายที่มีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้า กระหม่อมไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดพะยะค่ะ”

ชายที่ใบหน้ามีรอยแผลเป็นงั้นหรือ ? นอกจากจักรพรรดิแคว้นเซี่ยเซี่ยหวนอวี่แล้ว ยังจะมีใครอีก ?

หยุนชางจึงเดินไปยังห้องโถงด้านหน้า เมื่อเดินไปยังประตูห้องแล้ว พลางเห็นชายสองคนกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่ตรงกลางห้อง บรรยากาศช่างเงียบสงบ. หยุนตกตะลึงไปสักพัก ครั้งก่อนเซี่ยหวนอวี่มาที่วังนั้น ใบหน้าของจิ้งอ๋องพลันเย็นชา เมื่อนางผลักเขาให้ออกไปพบเขากลับมิอยากเจอหน้า ทำไมวันนี้ถึงมาเล่นหมากรุกกับเขาได้กัน ? เป็นไปได้หรือไม่ว่า มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับสองคนนี้ ?

เซี่ยหวนอวี่พลันสังเกตุเห็นการปรากฏตัวของหยุนชางเสียก่อน พลางหันหน้ามายิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย หยุนชางพลันเห็นในดวงตาของเขามีแต่ความสุข จึงคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่งเขาและจิ้งอ๋องคงจะคลี่คลายแล้ว

จิ้งอ๋องจึงหันหน้ามาตามสายตาของเซี่ยหวนอวี่ พลันเห็นหยุนชางนั้น แววตาเต็มไปด้วยความแวววับ พลางรีบร้อนลุกขึ้นมาหาหยุนชางพร้อมดึงมือของนาง “กลับมาแล้ว ? ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายลงแล้วหรือ ?”

หยุนชางพลันสังเกตุเห็นเมื่อครู่ สายตาของจิ้งอ๋องเต็มไปความใจร้อน เมื่อหันมาเห็นหยุนชางทุกอย่างก็หายไป หยุนชางยังมิทันจะได้ตอบคำถาม กลับได้ยินเสียงจิ้งอ๋องพูดโพล่งขึ้นมา “ทำไมมือถึงเย็นขนาดนี้ ? ” ขณะที่พูดจึงพาหยุนชางเดินเข้ามายังในห้อง พลางนั่งลงเก้าอี้ข้างจิ้งอ๋อง

หนุนหันไปมองเซี่ยหวนอวี่นั้น เมื่อเห็นเขาพยักหน้า จึงได้ตอบกลับไปว่า “จัดการทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก หากแต่มือ. หม่อมฉันมิได้รู้สึกว่ามันเย็นถึงเพียงนั้น”

“เจ้าต้องไม่รู้สึกอยู่แล้ว” จิ้งอ๋องพลันจ้องไปหาหยุนชาง แล้วจึงหันไปสั่งข้ารับใช้ให้ไปเตรียมน้ำชามา และยังสังให้ต้มซุปมาเพิ่มอีกด้วย

หยุนชางพลันหันไปมองกระดานหมากบนโต๊ะ การวางหมากของจิ้งอ๋องนั้นเต็มไปด้วยความเฉียบแหลม หมากของเซี่ยหวนอวี่นั้นเดินด้วยความระมัดระวัง หมากทั้งสองนั้นยากที่จะมองออกว่าผู้ใดจะชนะหรือแพ้ได้

เซี่ยหวนอวี่วางหมากในมือลงบนกล่องเก็บตัวหมากรุกนั้น พลางยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ในเมื่อพระชายาจิ้งอ๋องกลับมาแล้ว ข้าคงจะต้องขอตัวก่อน”

จิ้งอ๋องพลางโบกมืออย่างไม่สนใจ เขาไม่แม้แต่สนใจสิ่งที่เซี่ยหวนอวี่พูดด้วยซ้ำ หยุนชางพลันเห็นดวงตาของเขามีร่องรอยอารมณ์บางอย่างอยู่ หยุนชางพลันยิ้มออกมา ราวกลับเขากำลังขัดแย้งกับบรรพบุรุษของตนเอง

หยุนชางเมื่อเห็นเซี่ยหวนอวี่ลุกขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจพร้อมจะออกไป แต่เดิมนางตั้งใจจะออกไปสั่งเขา หากแต่จิ้งอ๋องพลังดึงมือนางไว้ หยุนชางมิอาจช่วยได้ จึงรับสั่งให้พ่อบ้านออกไปส่งแทน

เมื่อเซี่ยหวนอวี่ออกไปแล้ว หยุนจึงหันหน้ามาหาจิ้งอ๋อง ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์หมดหนทาง “หากไม่ชอบ ก็มิต้องr[เจอ หากเจอ ก็ไม่ควรจะทำท่าทางรำคาญเช่นนั้น. ท่านทำแบบนั้นเพื่อทรมานเขา ท่านไม่ทรมานตัวเองงั้นหรือ ?”

ใบหน้าของจิ้งอ๋องเต็มไปด้วยความอับอาย เพียงชั่วครู่จึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าพูดอะไรกัน ข้าแค่ทำอะไรแก้เบื่อตอนที่เจ้าเข้าวังแค่นั้น เขามาหาข้าเพื่อมาชวนเล่นหมากรุกได้ทันเวลาพอดี จึงอดทนเล่นเป็นเพื่อนเขา ถึงแม้จะน่าเบื่อไปบ้าง หากแต่ก็ได้เวลาแล้ว”

หยุนชางมิได้เปิดเผยคำโกหกของเขาออกมา พลันส่ายหน้าเบาๆ “กลับเข้าตำหนักกันเถอะ ที่นี่อากาศยังเย็นอยู่มาก”

จิ้งอ๋องพลางพยักหน้ารับ จึงรีบจับกุมมือหยุนชาง สองคนจึงเดินกลับตำหนักของตนไปด้วยกัน

ดั่งรักบันดาล

ดั่งรักบันดาล

Status: Ongoing

หร่วนซือซือต้องนัดดูตัว แต่อีกฝ่ายคือเจ้านายของเธอ “ประธาน……ประธานอวี้ คุณไปผิดที่รึปล่าว” “หร่วนซือซือ” ชายหนุ่มเรียกชื่อของเธอ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ในเมื่อเราสองคนก็รู้จักกันแล้ว เราก็มาแต่งงานกันเถอะ” “…………..” หลังจากแต่งงานหร่วนซือซือพบว่าชายคนนี้เมื่ออยู่ที่บริษัทเขาจะมีความเด็ดขาดในธุรกิจมาก และเป็นผู้กุมอำนาจของบริษัท และเมื่อเขาอยู่ที่บ้านเขาก็จะอ่อนโยนต่อเธอมาก

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท