เวลาที่รถไปยังที่อยู่ที่ซ่งเย้อันให้ไว้ คือสิบโมงกว่า เมื่อเธอลงจากรถ ก็เดินตรงไปที่หมิงเย่ว์หมายเลขหนึ่ง หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาซ่งเย้อัน
ที่อยู่ที่ซ่งเย้อันส่งมาให้ บอกเพียงแค่หมิงเย่ส์หมายเลขหนึ่ง ไม่ได้บอกรายละเอียดอย่างอื่นเพิ่มเติม เธอจึงโทรหา เพื่อให้เขาออกมารับเธอ
โทรติดแล้ว แต่กลับไม่มีใครรับสาย จู่ๆข้างๆเธอก็มีผู้ชายคนหนึ่งถือดอกไม้เดินเข้ามาให้เธอ
“คุณหร่วน นี่คือดอกไม้ของคุณครับ”
หร่วนซือซืออึ้งไปเล็กน้อย เธอยื่นมือรับมา ดอกไม้ดอกนี้คือดอกกุหลาบสีแดงสด ชุ่มไปด้วยไอน้ำ จากนั้นก็มีรถSUVสีดำมาจอดตรงหน้าเธอ
เธอหันไปมองหน้าผู้ชายข้างๆด้วยสีหน้าสงสัย แต่เห็นเพียงเขาที่เดินไปเปิดประตูรถ ก้มโค้งเล็กน้อย พร้อมกับผายมือเชิญเธอขึ้นรถ
“คุณหร่วน เชิญขึ้นรถครับ เราจะส่งคุณไปยังจุดหมายโดยปลอดภัย”
หร่วนซือซือรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เธอจึงถามขึ้นว่า : “ที่นี่ไม่ใช่จุดหมายเหรอคะ?”
ผู้ชายคนนั้นยิ้ม พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ : “ไม่ใช่ครับ”
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอเองก็ไม่รู้ว่าซ่งเย้อันจะเตรียมอะไรยังไงไว้ เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง มองไปยังผู้ชายคนนั้น สุดท้ายเธอจึงก้าวขาขึ้นรถไป
เมื่อผู้ชายคนนั้นเห็นรถเธอขึ้นรถแล้ว ก็ปิดประตูลง เดินไปยังที่นั่งคนขับ
เห็นสีหน้าท่าทางของหร่วนซือซือที่เต็มไปด้วยความสงสัย ผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาว่า : “คุณหร่วน คุณซ่งให้พวกเราดูแลคุณเป็นอย่างดี หากคุณต้องการอะไร บอกเราได้ตลอดนะครับ”
หร่วนซือซือพยักหน้า ความสงสัยที่อยู่ภายในใจก็คลายลง
เวลานั้นเองผู้ชายคนนั้นก็เสิร์ฟน้ำและผลไม้ให้กับเธอ หร่วนซือซือมองไปยังอาหารพวกนั้น แต่เธอไม่ได้ทานมัน
ก่อนหน้านี้เธอเคยซวยเพราะทานอะไรแบบนี้ เธอจะไม่ยอมล้มซ้ำรอยเดิมอีกแน่ๆ เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ข้างนอก เธอจะไม่กล้าทานของที่คนอื่นเตรียมมาแบบนี้
ในห้องรถ มีกลิ่นธูปหอมอ่อนๆ อ่อนมาก ถ้าไม่ดมดีๆก็แทบจะไม่ได้กลิ่นเลย
หร่วนซือซือมองไปยังนอกหน้าต่าง พร้อมกับถามขึ้นว่า : “เราจะไปที่ไหนเหรอคะ? แล้วต้องใช้เวลาเท่าไหร่?”
“เมื่อถึงจุดหมายแล้วคุณจะรู้เอง ถ้าบอกก่อนก็จะไม่เซอร์ไพรส์ครับ ใช้เวลาราวสี่สิบนาที เชิญคุณพักผ่อนก่อน”
เมื่อได้ยินแล้ว เธอก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับหันไปมองนอกหน้าต่าง
เพียงครู่เดียว เธอก็เริ่มรู้สึกง่วง ง่วงจนเหมือนฝืนลืมตาไม่ไหว
เธอสูดลมหายใจเข้า ทิ้งตัวไปยังพนักพิง เริ่มไม่มีสติ สุดท้าย เธอก็หลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เธอสะลึมสะลือตื่นขึ้น ก็เห็นว่าตัวเองยังอยู่บนรถ ทางค่อนข้างขรุขระ เธอพยายามที่จะลืมตา แต่ก็ลืมตาไม่ขึ้น และไม่มีแรงเลย ไปตามคนอื่นด้วยปริยาย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว หร่วนซือซือรู้เพียงแต่ว่าเป็นระยะทางที่แสนจะยาวไกล คดโค้งไปมา ทั้งนั่งรถทั้งนั่งเรือ ในที่สุดก็หยุดลง
ครึ่งฝันครึ่งตื่น จู่ๆก็มีน้ำเย็นสาดลงกลางหัวของเธอ เธอสะดุ้งทันที ค่อยๆลืมตาขึ้นจากความงัวเงีย เมื่อตื่นแล้ว ก็เห็นเปลวไฟและเงาคน
เธออยู่ที่ไหน?
ไม่ใช่ว่าจะพาเธอไปหาซ่งเย้อัน เซินเซินและซาซาหรอกเหรอ?
……
หร่วนซือซือกัดฟันแน่น ใช้แรงทั้งหมดที่มี พยายามลืมตามองให้ชัด
ตรงหน้าของเธอตอนนี้ เป็นทรายผืนใหญ่ ไกลออกไปอีกก็เป็นทะเลที่ไกลสุดขอบฟ้า มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ท้องฟ้าพลบค่ำสีสลัว ดูแล้วน่าจะเป็นช่วงห้าถึงหกโมงเย็น
ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆสีหน้าเรียบเฉย แววตาไร้ความกังวล
หร่วนซือซือได้สติขึ้นมา เธอมองคนเรานั้นด้วยอาการตกตะลึง และเพิ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองถูกมัดอยู่
นี่เธอโดนลักพาตัวเหรอ?
ทันใดนั้นความทรงจำอันโหดร้ายก็กลับมาอีกครั้ง สมองของเธอรวนไปหมด
เธอสูดลมหายใจเข้า กัดฟันแน่นพร้อมกับฝืนตะคอกออกไปด้วยอาการเจ็บคอ : “พวกแก…จะทำอะไร?”
เขาเสียงแรงเสียเวลาจับเธอมาก็ต้องมาจุดประสงค์แน่นอน ตลอดทาง ทั้งขึ้นน้ำลงเรือ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เสียงแรงไปไม่ใช่น้อยๆ
คนทั้งกลุ่มจ้องมองเธอ แต่ไม่มีใครตอบคำถามเธอสักคน
หร่วนซือซือขมวดคิ้ว สีหน้าเครียดจัด เธอสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า : “หัวหน้าของพวกแกเป็นใคร? เรียกเขามา ฉันจะคุยกับเขา!”
เธอที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครเลย คนที่รู้ว่าเธอกลับเจียงโจวรอบนี้มีไม่มาก ใครกันที่ใจกล้าบ้าบิ่นมาทำเรื่องพวกนี้ ถึงขนาดลักพาตัวเธอมาที่เกาะแห่งนี้! คนๆนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
“ฉันจะคุยกับเขา!” หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า พร้อมกับตะโกนไปที่คนพวกนั้น
แต่คนพวกนั้นนิ่งราวกับรูปปั้น นอกจากจ้องเธอแล้วพวกเขาไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครตอบเธอสักคน
“ใครจะคุยกับฉัน?”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของเธอ เสียงนั้นถูกดัดแปลงผ่านเครื่องเปลี่ยนเสียงที่ผันผวนเล็กน้อย ค่อยๆใกล้เธอเข้ามา
หร่วนซือซือรู้สึกแน่นไปทั้งอก เธออยากจะหันกลับไปมอง แต่เธอถูกเชือกมัดไว้แน่นเกินไป จึงไม่สามารถหันกลับไปมองได้
เจ้าของเสียงนั้นเดินมายังด้านหน้าของหร่วนซือซือ เมื่อเห็นแล้ว เธอก็ตกใจจนตัวแข็งทื่อ
คนๆนั้นใส่เสื้อคลุมสีดำทั้งชุด พร้อมกับใส่หน้ากากทั้งหน้า ตัวของเขาเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือก เมื่อมองไปแล้ว ก็ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
หร่วนซือซือสร้างสงครามเย็นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เธอตัวแข็งทื่อ นิ่งและอึ้งไป คำพูดที่จะพูดออกมาก็กลืนลงคอไปหมด
“พูดมาสิ มีเรื่องอะไร?”
คนๆนั้นยื่นอยู่ต่อหน้าเธอ เพียงแค่เขาเอ่ยปากพูด เสียงก็ถูกดัดแปลงผ่านเครื่องเปลี่ยนเสียง เสื้อผ้าปกปิดทั่วร่างกายของเขา ทำให้ดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ว่าเขาคือใครหน้าตาเป็นยังไง
หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า พยายามให้ตัวเองสงบนิ่งลง มองเข้าไปในดวงตาภายใต้หน้ากากนั่น เธอกัดฟันพร้อมกับถามขึ้นว่า : “คุณเป็นใคร? ทำไมต้องจับฉันมา?”
ภายใต้หน้ากากผีนั่น จู่ๆก็หัวเราะออกมา ยิ่งน่ากลัวไปกันใหญ่
“คุณหร่วน คุณปฏิเสธการเชิญจากผมทุกครั้ง มันช่วยไม่ได้ เลยต้องใช้วิธีนี้เชิญคุณมา”
คนๆนั้นพูดพลางส่งสัญญาณให้ลูกน้องย้ายเก้าอี้มาไว้ด้านหลังของเขา
หน้ากากผีหย่อนตัวนั่งลงอย่างใจเย็น สองมือของเขาประสานเข้าหากัน แววตาราวกับตาของเหยี่ยว เยือกเย็นจนเหมือนจะทะลุหน้ากากออกมา เมื่อมองแล้วก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า พยายามข่มความกลัวของตัวเองไว้ : “เราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนใช่หรือเปล่า?”
เสียงที่เย็นยะเยือกค่อยดังขึ้น : “แต่ฉันเคยเจอเธอแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยส่งของขวัญไปให้ เธอชอบมันหรือเปล่า?”
หร่วนซือซือสะดุ้งโหยง นึกถึงตอนที่เห็นซากแมวตายอยู่ในท้ายรถของเธอ จู่ๆตัวเธอก็สั่นขึ้นมา
โลโก้แมงมุมที่ปรากฏคราวก่อน ตั้งแต่ส่งดอกไม้ ส่งหยก ไปจนถึงฉากนองเลือดในเวลาต่อมา ทำไมเธอถึงจะจำไม่ได้ล่ะ?
จนถึงตอนสุดท้าย อวี้อี่มั่วให้เธอมอบเรื่องนี้ให้เขาจัดการต่อ ไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้รับการก่อกวนอีก เธอก็เลยไม่เอามาใส่ใจ นึกไม่ถึงเลยว่า ครั้งนี้จะถึงขึ้นลักพาตัวเธอ!
เธอรู้สึกเยือกเย็นไปทั้งใจ ลามไปจนถึงหลัง ร่างกายเธอสั่นเทา หลังจากนั้นเธอก็ค่อยๆสงบสติอารมณ์ สูดลมหายใจเข้าแล้วถามกลับไปว่า : “คุณต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่รู้สึกว่าชีวิตมันไร้สีสัน ก็เลยอยากเล่นเกมกับคุณหร่วนสักเกม”
หน้ากากผีพูดพลางยกมือให้สัญญาณกับลูกน้อง เพียงครู่เดียวก็มีคนยกกรงมาวางไว้ข้างๆ
หร่วนซือซือหันไปมอง เห็นสิ่งที่อยู่ในกรงแล้ว แววตาของเธอก็เข้มขึ้นมา เธอตกใจจนอ้าปากค้าง