อวี้กู้เป่ยชายตามองสีหน้าของเธอ เขายื่นมือไปหยิบเค้กถั่วเขียวมาหนึ่งชิ้น พร้อมกับชิมด้วยท่าทีสง่างาม พูดขึ้นเสียงเบาว่า : “รสชาติดี เธอลองชิมดู”
ลู่เสี่ยวมั่นเมื่อได้ยินแล้ว ก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับหยิบเค้กถั่วเขียวหนึ่งชิ้นขึ้นมาชิมเงียบๆ
อวี้กู้เป่ยจ้องไปยังเธอ ถามขึ้นอย่างใจเย็นว่า : “เรื่องที่บ้านเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
ลู่เสี่ยวมั่นตอบกลับด้วยความระมัดระวัง : “เรียบร้อยแล้วค่ะ”
คนหนึ่งถามคนหนึ่ง เพียงครู่เดียวทั้งห้องก็เงียบสนิท ลู่เสี่ยวมั่นลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “คุณผู้ชาย ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
พูดจบ เธอก็เตรียมตัวเดินออกไป
“รอเดี๋ยว” อวี้กู้เป่ยเรียกเรียกเธอ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น : “เมื่อกี้ ได้ยินหมดแล้วใช่รึเปล่า?”
ลู่เสี่ยวมั่นได้ยินแล้ว เธอก็อึ้งตัวแข็งทื่อไป นิ่งไปครู่หนึ่งก็หันหน้าไปสบตาของเขาด้วยแววตาที่แปลกใจ : “ทำไมถึงปล่อยซือซือไปไม่ได้คะ”
เธอที่อยู่เคียงข้างอวี้กู้เป่ยมาตลอดห้าปี เธอเองรู้สึกว่าเขาอ่อนโยนและเมตตา ความอบอุ่นของเขาราวกับลมฤดูใบไม้ร่วงในเดือนหก เขาเข้าได้กับทุกคน แต่บางครั้งก็อาจจะเจอกับเหตุการณ์น่ากลัว และเธอเองก็ได้เห็นชัดว่าเขาไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่เธอคิด
เขาลึกลับ ซับซ้อน ในมือของเขามีอำนาจมากมาย เพียงแค่เขาโบกมือก็จัดการทุกสิ่งทุกอย่างราบคาบอย่างที่เธอไม่คิดว่าจะจัดการได้ เป็นเหมือนเจ้าหนี้และศัตรูในครอบครัว เขาพาเธอเข้าสู่วงจรชีวิตที่สะอาดและอบอุ่น หากพูดตามพื้นฐานความเป็นจริงแล้ว เขาก็คือผู้มีพระคุณของเธอ
เรื่องอื่นเธอจะไม่ยุ่ง แต่ครั้งนี้เป็นเพื่อนเก่าที่ดีที่สุดของเธอ เธอจึงอยากทำความเข้าใจให้มากกว่านี้
บทสนทนาของอวี้กู้เป่ยและลั่วจิ่วเหยี่ยเมื่อสักครู่นี้ เธอได้ยินคร่าวๆว่า ห้าปีที่แล้ว อวี้กู้เป่ยเคยทำเรื่องไม่ดีกับหร่วนซือซือไว้ ห้าปีให้หลัง เขาก็ยังทำแบบนั้นอีก แต่ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เธอไม่อยากจะทำร้ายเพื่อนเก่าของเธออีกแล้ว
อวี้กู้เป่ยยกถ้วยชาขึ้นมาด้วยท่าทีนิ่งสงบ เขาจิบชา เงยหน้าขึ้นมองเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เสี่ยวมั่น เธอใจดีเกินไป”
“ไม่รู้ใจคน ไม่รู้ถึงความมืดมิด นี่คือข้อดีที่ใหญ่สุดของเธอ และเป็นข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของเธอด้วยเช่นกัน”
เขาพูดด้วยความใจเย็น ค่อยๆก้มหน้ามองขาคู่นั้นของเขา นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ขาของฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะอวี้อี่มั่ว ความลำบากและความทุกข์ทรมานใจของหลายปีมานี้ ฉันจะให้เขาชดใช้”
ลู่เสี่ยวมั่นขมวดคิ้ว : “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหร่วนซือซือเหรอคะ?”
อวี้กู้เป่ยพูดขึ้นอย่างชัดเจนว่า : “ก็เพราะหร่วนซือซือเป็นผู้หญิงที่เขารักไง”
ลู่เสี่ยวมั่นแววตาลุกโชน เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอจึงรีบพูดออกไปว่า : “แต่ว่าตอนแรกคุณก็ชอบซือซือไม่ใช่เหรอคะ?”
ห้าปีที่แล้ว อวี้กู้เป่ยพูดเองกับปากว่าชอบหร่วนซือซือ แต่ตอนนี้……
เขายิ้มขึ้นที่มุมปาก ยิ้มอย่างมีเลศนัย
ห้าปีที่แล้ว ที่เขาพูดแบบนั้นก็เพราะว่าเขารู้ว่าลู่เสี่ยวมั่นมีใจให้กับเขา เขาต้องการหลอกใช้ความรู้สึกของเธอ เพื่อจะจบเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น
ตอนนี้ดูแล้ว วิธีนี้คงใช้ไม่ได้ผล กับลู่เสี่ยวมั่น ถ้าอยากจะจับเธอให้อยู่หมัด ก็ควรจะใช้ความรู้สึกของเธอน่ะถูกแล้ว
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก แววตานุ่มนวลและลุ่มลึก เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมาหาลู่เสี่ยวมั่น
ลู่เสี่ยวมั่นที่เห็นเขาจู่ๆก็ยืนขึ้นมา เธอตกใจตาค้าง : “คุณผู้ชาย ขาของคุณ!”
เขายืนไม่ได้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆ……
เขาไม่ได้ตอบเธอ แต่เดินตรงมาที่ข้างๆเธอแทน เขามองลงมาที่เธอ แววตาลุกโชน มองเธออย่างเปิดเผย โดยไม่ปกปิดอารมณ์ในสายตาของเขาเลย
เขาก้มหน้าลงมา ข้างๆหูของเธอ : “ขาของฉันหายดีแล้ว ตอนแรกกะจะมาเซอร์ไพรซ์เธอเสียหน่อย”
ลู่เสี่ยวมั่นใจเต้นโครมคราม เธอไม่นึกเลยว่าเวลาที่เขายืนขึ้นจะสูงขนาดนี้ เขาตัวสูงโปร่ง ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ และเธอก็สัมผัสได้ถึงความเป็นชายในตัวเขาอย่างชัดเจน
เขาพูดอยู่ข้างๆหูของเธอ มือที่ลูบผ่านใบหูพร้อมกับทัดผมให้เธอ พูดขึ้นเสียงทุ้ม : “คนที่ฉันชอบ ก็คือคนที่อยู่เคียงข้างฉันมาตลอดหลายปีมานี้ ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”
เวลานั้นเอง ลู่เสี่ยวมั่นรู้สึกเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เธอทั้งอึ้งและตกใจ ร่างกายร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
คำพูดพวกนี้ของอวี้กู้เป่ย กำลังสารภาพรักอยู่เหรอ?
“คุณผู้ชาย……”
เธอเงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาสีดำสนิทของเขา จู่ๆเธอก็พูดอะไรไม่ออก
“เสี่ยวมั่น หลายปีมานี้ฉันผ่านมันมายังไง ฉันเชื่อว่าเธอคงจะรู้ดีที่สุด เหตุผลเดียวที่ฉันยังอยู่ที่เจียงโจว ก็เพราะฉันอยากจะจบความเจ็บปวดทั้งหมดของฉันลง”
อวู้กูเป่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาจับมือของเธอขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึก : “มาจบความเจ็บปวดนี้กับฉัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะพาเธอไปที่ใหม่โลกใบใหม่ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ใช้ชีวิตเรียบง่ายด้วยกัน ดีไหม?”
ลู่เสี่ยวมั่นได้ยินแล้ว ก็รู้สึกแสบจมูกเหมือนจะร้องไห้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา : “คุณผู้ชาย……”
อวี้กู้เป่ยสายตาอ่อนโยน ราวกับน้ำในฤดูใบไม้ผลิ : “ความรู้สึกทั้งหมดของฉัน ฉันได้พูดกับเธอไปหมดแล้ว เธอจะยอมรับมันไหม?”
ลู่เสี่ยวมั่นที่ทั้งตกและดีใจ แววตาเต็มไปด้วยความเอียงอาย เธอสูดลมหายใจเข้า พูดอะไรไม่ออก เขาก็โน้มตัวลงมาจูบเธอด้วยความนุ่มนวล
ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจมาหลายปี ลู่เสี่ยวมั่นได้เข้าสู่ท่ามกลางความหวานชื่น เธอหยุดคิดทุกๆอย่างลง
กลางดึก มีทั้งคนหวานชื่น และมีคนเจ็บปวด ตู้เยี่ยมี่เฝ้าซ่งอวิ้นอันอยู่ข้างเตียง กุมมือที่ขาวซีดของเธอไว้ เขาเฝ้าคอยอธิษฐาน รอปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
แต่ว่าสวรรค์ช่างโหดร้าย สามวันให้หลัง ซ่งอวิ่นอันไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย หมอที่ซ่งเย้อันเชิญมาจากต่างประเทศก็กำลังเดินทางมาถึง ภายใต้เงื่อนไขของโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลตรวจสอบทุกๆด้านเกี่ยวกับซ่งอวิ้นอันอย่างละเอียดแล้ว สุดท้ายก็ได้ผลสรุปออกมา
ผ่านการหาลือไปราวชั่วโมงกว่า ซ่งเย้อันก็ออกจากห้องประชุมมาในที่สุด สีหน้าเคร่งเครียด
หร่วนซือซือที่ยืนรออยู่ข้างนอกร้อนใจจนแทบจะทนไม่ไหว เมื่อเห็นเขาออกมาแล้ว ก็รีบเข้าไปถามด้วยความรีบร้อนทันทีว่า : “ว่าไงบ้างแล้ว?”
การหารือครั้งนี้คงจะเป็นความลับอย่างแน่นอน หมอเจมส์ที่มาจากต่างประเทศอนุญาตให้แค่ญาติสนิทและหมอประจำพื้นที่เข้าร่วมการหารือด้วยเท่านั้น
ซ่งเย้อันส่ายหน้าเบาๆ พาหร่วนซือซือไปยังด้านข้าง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “สถานการณ์ไม่ค่อยดี”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หร่วนซือซือเหมือนหัวใจหล่นฮวบลง เธออึ้งตาค้างพูดอะไรไม่ออก
หมอในประเทศรักษาไม่ได้ ตอนนี้เชิญหมอจากต่างประเทศมา ถ้าเกิดยังหาวิธีรักษาไม่ได้ ซ่งอวิ้นอันจะต้องนอนแน่นิ่งไม่ขยับแบบนี้ตลอดไปเหรอ?
ซ่งเย้อันพูดต่อว่า : “เจมส์บอกว่ายังมีความหวัง แต่อุปกรณ์การรักษาภายในประเทศไม่เพียบพร้อมและไม่เพียงพอ คิดว่าคงจะพาอันอันไปรักษาต่อที่ต่างประเทศ”
หร่วนซือซือได้ยินแล้ว ในใจของเธอสับสนวุ่นวายไปหมด แต่ไม่ว่ายังไงขอแค่ยังมีความหวัง อันอันก็อาจจะฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง
ซ่งเย้อันสูดลมหายใจเข้า เขานวดหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ฉันจะคุยกับเจมส์อีกทีหนึ่งในวันหลัง รีบหาข้อสรุปให้เร็วที่สุด จะได้รีบพาอันอันไปรักษาที่ต่างประเทศ”
หร่วนซือซือได้ยินแล้ว จึงรีบพูดขึ้นว่า : “ฉันจะไปกับพวกนายด้วย”
ซ่งเย้อันได้ยินแล้ว ก็อยากจะปฏิเสธเธอ แต่เมื่อนึกถึงว่าถ้าเขาไปแล้ว เธอต้องดูแลเซินเซินและซาซาคนเดียวในเมืองเจียงโจว ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งไม่ไว้ใจไปใหญ่ ไปด้วยกันดีที่สุด
เขาพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “โอเค งั้นฉันจะรีบไปจัดการงานที่บริษัทให้เสร็จก่อน”
เมื่อพูดจบ เสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูไปที่หน้าจอ สีหน้าเข้มขึ้น แล้วจึงกดรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆสีหน้าก็แย่ลงไปทันที : “อะไรนะ? จับกุมคนที่ชนได้แล้วเหรอ?”