ดั่งรักบันดาล – บทที่ 514 ศพหายไป

บทที่ 514 ศพหายไป

หร่วนซือซือถ้าได้ตัดสินใจทำอะไรแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะสามารถห้ามเธอได้

หลังจากที่บอกกับเซินเซินและซาซาเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้นเธอก็พาเด็กๆทั้งคู่นั่งเครื่องรอบแรกสุด บินตรงไปยังเมืองเจียงโจว

เย็นของวันนั้น พวกเขาก็ถึงที่หมาย หร่วนซือซือพาเซินเซินและซาซาตรงไปที่สวนสาธารณะซีเฉียวทันที

คุณนายหลิวเปิดประตูออกมาก็ต้องผงะอ่ะ เธอเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ไม่นึกเลยว่าผู้หญิงที่เธอวิดีโอคอลกันอยู่หยกๆเมื่อวานนี้ วันนี้จะพาลูกๆกลับมาถึงที่นี่ได้

“พวกเธอ…พวกเธอกลับมายังไง?”

หร่วนซือซือที่รู้สึกค่อนข้างเหนื่อย แต่ก็ฝืนยิ้มออกมาพร้อมกับล้อเล่นไปว่า : “ทำไมเหรอคะ? ไม่ต้อนรับเราเหรอ?”

“พูดอะไรอย่างนั้น พวกเธอกลับมาหาฉัน ฉันจะไม่ต้อนรับยังไงล่ะ!”

คุณนายหลิวยิ้มพร้อมกับจุงมือเซินเซินและซาซาเข้าบ้านไป หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า พร้อมกับเดินตามเข้าไป

ทั้งๆที่มาถึงเจียงโจวแล้วแท้ๆ แต่ความกังวลใจก็ยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน

ในระหว่างที่เซินเซินและซาซากำลังเล่นกับ ศจ.หร่วนอยู่นั้น หร่วนซือซือก็เข้าไปจุงมือคุณนายหลิวออกมาข้างๆ สีหน้าของคุณนายหลิวจริงจังขึ้นมาทันที พอจะเดาออกว่าเธอจะทำอะไร : “เธอจะถามเรื่องของอวี้อี่มั่วใช่หรือเปล่า?”

หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า รู้ว่าเธอปิดบังคุณนายหลิวไม่ได้ จึงพยักหน้าตอบเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ใช่ค่ะ บ้านตระกูลอวี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เหรอคะ?”

คุณนายหลิวสุดลมหายใจเข้า แล้วเริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองได้ยินมาตั้งแต่ต้นจนจบให้หร่วนซือซือฟัง

หร่วนซือซือฟังแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น บางทีก็โกรธ จนสุดท้าย พอมาคิดพิจารณาดีๆ เธอก็รู้เลยทันทีว่าเรื่องที่แม่ของเธอรับฟังมา มีความจริงค่อนข้างน้อยมาก

เพราะการที่เราได้รับฟังอะไรมา ก็เป็นไปตามคนที่เล่าอยากให้เรารับรู้ยังไง

คืนนั้น เธอก็เดินทางออกจากสวนสาธารณะซีเฉียว พร้อมกับไปซื้อซิมโทรศัพท์ใหม่ เธอเริ่มค้นอ่านข่าวต่างๆในอินเทอร์เน็ตที่เธอพลาดไป พยายามค้นหาว่ามีอะไรความคืบหน้าบ้าง

ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถจะเชื่อได้เลยว่าอวี้อี่มั่วจะเสียชีวิตแล้ว

อีกอย่าง เธอก็เริ่มสงสัยอวี้กู้เป่ยมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน

ดูอยู่พักใหญ่ สายตาของเธอก็เริ่มเมื่อยล้า จู่ๆก็มีความคิดหนึ่งแว๊บเข้ามาในหัวของเธอ เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง หยิบมือถือเครื่องใหม่ขึ้นมา โทรหามือถือเครื่องเก่าของเธอพี่ทำหายไป

แต่แล้วก็ดันโทรติดขึ้นมา : “ตื๊ด—ตื๊ด—” เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีคนรับสาย ในขณะที่เธอกำลังจะวางสายแล้ว จู่ๆก็มีคนรับสายขึ้นมา

หร่วนซือซือรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เธอรีบพูดขึ้นว่า : “ฮัลโหล?”

ปลายสายเงียบสนิทไม่มีเสียงตอบกลับใดๆทั้งสิ้น

หร่วนซือซือนิ่งไปครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติ จึงรีบหันหน้าจอมือถือขึ้นมาดู เพื่อดูว่าโทรติดจริงๆหรือเปล่า แล้วก็รีบกลับไปฟังใหม่ พร้อมกับถามขึ้นอีกครั้ง : “ฮัลโหล ได้ยินหรือเปล่าคะ?”

ปลายสายเงียบสนิทจนน่ากลัว หร่วนซือซือรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งใจ เธอมีรู้สึกว่าคนที่อยู่ปลายสายกำลังฟังเธออยู่ แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา

แปลกจัง

เวลานั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้ค่อนข้างไกล เธอจึงฟังไม่ค่อยชัด แต่เหมือนจะได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูดว่า : “วันนี้ฉัน……”

ผู้หญิงคนนั้นยังพูดไม่ทันจบ มือถือก็ถูกตัดสายไป

หร่วนซือซือก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมา เธอมีความรู้สึกว่า เสียงผู้หญิงที่เธอได้ยินเมื่อสักครู่นี้คุ้นหูมาก

เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามนึกยังไง ก็นึกไม่ออกสักที

เวลานั้นเอง ณ คฤหาสน์อีกฝั่งหนึ่ง ที่ห้องหนังสือชั้นสอง อวี้กู้เป่ยมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตาเยือกเย็น

ลู่เสี่ยวมั่นสูดลมหายใจเข้า เธอรู้สึกผิดนิดหน่อย

ก่อนหน้านี้เขาสั่งเธอมาตลอด ว่าก่อนเข้ามาต้องเคาะประตูทุกครั้ง แต่ครั้งนี้จู่ๆเธอก็เข้ามาโดยไม่ได้เคาะประตู

เธอเองไม่รู้ว่าอวี้กู้เป่ยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ และดูจากสีหน้าของเขาแล้ว น่าจะเป็นสายที่สำคัญมาก

เธอสุดลมหายใจเข้า เตรียมจะขอโทษเขา :”ฉันขอ……”

“ไม่ต้อง”

อวี้กู้เป่ยยกมือขึ้น สีหน้าของเขาก็กลับเป็นปกติ เขายิ้มขึ้นที่มุมปาก พร้อมกับยื่นมือส่งสัญญาณให้เธอเดินเข้ามาหา

ลู่เสี่ยวมั่นก็รู้สึกดีใจขึ้นมา เธอจึงรีบเดินเข้าไปหา พร้อมกับเข้าไปจับมือของเขาไว้

ทั้งคู่ดูเหมือนจะหวานอย่างเช่นเคย แต่ลู่เสี่ยวมั่นกลับรู้สึกว่าเขามีเรื่องอะไรบางอย่างที่หนักหน่วงอยู่ในใจ

เพียงครู่เดียว อวี้กู้เป่ยก็พูดกับเธอด้วยสีหน้าจริงจังว่า : “เสี่ยวมั่น ฉันยังมีงานที่ต้องจัดการ……”

คำนี้ ที่มีความหมายว่าเธอควรออกไปได้แล้ว

เธออยู่กับเขามานานขนาดนี้ ลู่เสี่ยวมั่นก็เข้าใจได้เลยทันที เธอพยักหน้ารับรู้ พร้อมกับลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป

เวลานี้ ห้องที่กว้างใหญ่ ก็เหลืออวี้กู้เป่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น

เพียงครู่เดียว ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เช่าจัวเปิดประตูเข้ามาด้วยความหอบ : “คุณชายครับ* ยังหาไม่เจอเลยครับ”

ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เครียดขรึมขึ้นมาทันที เขาบีบแก้วเหล้าไว้แน่น พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ฉันเลี้ยงพวกเศษเดนทั้งฝูงอยู่รึไง? แค่ศพๆเดียวก็หาไม่เจอ”

เช่าจัวก้มหน้าลง พูดไม่ออกสักคำ

ตอนนั้น ค่ำคืนที่ฝนตก เขาซ้อมอวี้อี่มั่วปางตาย ชนิดที่ลมหายใจรวยริน เพื่อที่จะให้อวี้อี่มั่วได้ลิ้มรสความสิ้นหวัง จึงสั่งคนลากอวี้อี่มั่วไปทิ้งที่หลังเขาเขียว ให้อวี้อี่มั่วค่อยๆลิ้มรสความสิ้นหวังอย่างช้าๆ

แต่นึกไม่ถึงเลยว่า วันถัดมา เมื่อเขาสั่งคนให้ไปตามหาศพของอวี้อี่มั่ว หาแล้วรอบใหญ่แต่ก็หาศพของเขาไม่เจอสักที

นี่คือข้อที่น่าสงสัยที่สุด! พูดตามหลักความเป็นจริงแล้ว อวี้อี่มั่วที่โดนซ้อมปางตาย บวกกับยาที่ลั่วจิ่วเหยี่ยฉีดเข้าไปในร่างกายของเขา เขาอยู่รอดไม่พ้นวันนั้นแน่

แต่ว่าทำไมถึงหาศพไม่เจอล่ะ?

“คุณชาย* หรือจะเป็นเหมือนที่คุณเคยพูดไว้? ศพอาจจะโดนสัตว์ป่ากินไปแล้ว?”

อวี้อี่มั่วหัวเราะในลำคอ : “เดียงสา! ฉันแค่ใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อหลอกทุกคน แล้วแกก็ไปหลงเชื่ออย่างนั้นเหรอ!”

ในตอนแรก เพื่อที่จะรับตำแหน่งท่านประธานของบริษัทอวี้กรุ๊ปอย่างราบรื่น เขาจึงต้องทำให้คนในบ้านตระกูลอวี้เชื่อก่อน ว่าอวี้อี่มั่วได้ตายไปแล้ว เขาจึงเอาศพของนักโทษที่โดนประหารในคุก มาแทนศพของอวี้อี่มั่ว

แต่ว่า ศพจริงๆของอสี้อี่มั่วกลับหาไม่เจอ ถ้าเกิดหาไม่เจอแบบนี้ เขาก็ไม่สามารถวางใจได้สักที!

เช่าจัวอึ้งไป จึงรีบพูดขึ้นว่า : “ผมจะให้คนไปตามหาต่อครับ”

อวี้กู้เป่ยเมื่อได้ยินแล้ว ก็พยักหน้าเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อ

ทันใดนั้นเอง เขาก็เหมือนกับจะคิดอะไรขึ้นมาได้ สายตาของเขาหันไปมองมือถือบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถามขึ้นว่า : “ใช่แล้ว หร่วรซือซือกลับมาแล้วเหรอ?”

“ใช่ครับ เพิ่งกลับมาวันนี้”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง อวี้กู้เป่ยหรี่ตาลง ดวงตาแวววับ

ถ้าหากเขาทายไม่ผิด อีกไม่นาน หร่วนซือซือจะต้องมาหาเขาอย่างแน่นอน

ช่วงบ่ายของวันถัดมา หร่วนซือซือก็เข้าไปที่บริษัทอวี้กรุ๊ปเพื่อมาหาเขา

ท่านประธานบริษัทอวี้กรุ๊ป ตำแหน่งที่เคยเป็นของอวี้อี่มั่ว ตอนนี้มันกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว ลึกๆภายในใจของเธอก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมา

อวี้กู้เป่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่ได้ลุกขึ้นมา เขายิ้มให้เธอพร้อมกับถามขึ้นว่า : “คุณหร่วน มาหาผมมีเรื่องอะไรหรือครับ?”

หร่วนซือซือยืมขึ้นที่มุมปาก สายตาของเธอจับจ้องไปที่ขาของเขา ที่กำลังไขว่ห้างอยู่ เธอพูดขึ้นว่า : “ดูแล้วขาของคุณคงจะหายดีแล้วสินะ”

อวี้กู้เป่ยหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ได้หมอดีน่ะ รักษาไปพักใหญ่ ก็เลยหายดีเร็ว”

หร่วนซือซือยิ้มขึ้นที่มุมปาก รอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยความคลุมเครือ

ขาคู่นั้นของเขา ดันมาหายในตอนที่อวี้อี่มั่วหายตัวไป ตลกสิ้นดี

ทุกอย่างมันชัดเจน ขาของเขาคงจะหายดีตั้งนานแล้ว เพียงแค่ปกปิดมันมาโดยตลอด เพื่อรอจังหวะนี้ รอจังหวะที่อวี้อี่มั่วหายตัวไป เขาจึงค่อยออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนด้วยความสมบูรณ์แบบ นึกว่าตัวเองทำการใหญ่แล้วจะได้เป็นผู้นำสินะ

คราวก่อนตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์สั้น เธอบังเอิญเห็นขาของเขาขยับ ตอนนั้นเธอก็แค่สงสัย ตั้งแต่ตอนนั้น ขาของอวี้กู้เป่ยก็คงจะหายดีแล้วสินะ

เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร อวี้กู้เป่ยก็ยิ้มขึ้นพร้อมกับถามเธอว่า : “คุณหร่วน คุณมาหาผม ไม่ได้ตั้งใจแค่มาถามเรื่องขาของผมใช่หรือเปล่า?”

หร่วนซือซือเมื่อได้สติ เธอรีบก็พยักหน้าเบาๆ สูดลมหายใจเข้า เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นของเขา พร้อมกับถามขึ้นว่า : “อวี้อี่มั่วเสียชีวิตจริงๆแล้วเหรอ?”

ดั่งรักบันดาล

ดั่งรักบันดาล

Status: Ongoing

หร่วนซือซือต้องนัดดูตัว แต่อีกฝ่ายคือเจ้านายของเธอ “ประธาน……ประธานอวี้ คุณไปผิดที่รึปล่าว” “หร่วนซือซือ” ชายหนุ่มเรียกชื่อของเธอ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ในเมื่อเราสองคนก็รู้จักกันแล้ว เราก็มาแต่งงานกันเถอะ” “…………..” หลังจากแต่งงานหร่วนซือซือพบว่าชายคนนี้เมื่ออยู่ที่บริษัทเขาจะมีความเด็ดขาดในธุรกิจมาก และเป็นผู้กุมอำนาจของบริษัท และเมื่อเขาอยู่ที่บ้านเขาก็จะอ่อนโยนต่อเธอมาก

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท