“พี่มั่ว ขาของพี่เป็นอะไรไป!”
เย่หว่านเอ๋ออึ้งไปชั่วขณะ แล้วจึงค่อยๆวิ่งไปต่อ เธอมองหน้าอวี้อี่มั่ว น้ำตาพรั่งพรูหลั่งไหลไม่หยุด : “พี่มั่ว! ขาของพี่……”
เธอยื่นมือไปจับแขนของอวี้อี่มั่วไว้ แต่กลับโดนเขาค่อยๆผลักมือเธอออก เย่หว่านเอ๋อย่อตัวลง มองไปที่ขาของเขา ร้องไห้จนสะอึกสะอื้น : “ฉันนึกว่าพี่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียแล้ว……ฉันเหมือนจะตายให้ได้เลย ตอนหลังมาฉันจึงค่อยได้ข่าวคราวของพี่มานิดหน่อย ไม่อย่างงั้น…ฉันคงมีชีวิตอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว……”
ใบหน้าของเธอผอมเล็กลงกว่าเมื่อก่อน เธอร้องไห้น้ำตาเป็นสาย ทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกสงสารเธอจับใจ แต่อวี้อี่มั่วที่นั่งอยู่บนรถเข็นกลับไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่นิดเดียว เขามองเธอที่กำลังร้องไห้ด้วยสีหน้าเฉยชา ส่งสัญญาณให้ตู้เยี่ยหยิบกระดาษทิชชูมา
เมื่อเห็นเย่หว่านเอ๋อที่กำลังเช็ดน้ำตาแล้ว เขาจึงพูดขึ้นช้าๆว่า : “พอได้แล้ว ในเมื่อเห็นหน้าฉันแล้วก็กลับไปซะ ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเธอ”
“ไม่ค่ะ ฉันจะอยู่ข้างๆตัวพี่ พี่ยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังเลย ว่าช่วงเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง พี่มั่ว ฉันยินดีจะอยู่ข้างๆพี่ ดูแลพี่……”
เย่หว่านเอ๋อเงยหน้าขึ้น เมื่อเธอพูดแล้ว จู่ๆเธอก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมา เธอหันไปมองด้านข้างอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเธอมองขึ้นไปเหนือชั้นวางดอกไม้ขึ้นไป ก็เห็นกับคนสองคนที่ยืนอยู่
สองคนนั้น ที่ใบหน้าคุ้นเคย คนหนึ่งคือคุณนายใหญ่ตระกูลอวี้ และอีกคนก็คือหร่วนซือซือ
วินาทีที่เธอเห็นหร่วนซือซือ เลือดในร่างกายของเย่หว่านเอ๋อก็เดือดพล่านไปทั้งตัว
เธอ……เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!
เพียงครู่เดียว เมื่อเธอได้สติ ก็รีบหันไปหาอวี้อี่มั่ว : “พี่มั่ว ฉันยินดีที่จะอยู่ข้างๆพี่ ดูแลพี่ พี่อย่าไล่ฉันไปเลยนะ……”
พูดจบ เธอก็ยื่นมือไปดึงชายเสื้อของของอวี้อี่มั่วไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย
อวี้อี่มั่วคิ้วขมวดคิวแน่น พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “เรื่องของฉันไว้ว่างแล้วฉันจะเล่าให้ฟังเอง แต่ไม่ใช่เวลานี้ ตอนนี้สถานการณ์ของฉันค่อนข้างอันตราย จะให้เธอมาอยู่ด้วยไม่ได้ เธอรีบกลับไปเถอะ”
เย่หว่านเอ๋อรีบส่ายหน้าขึ้นมาทันที : “ไม่เอา ฉันจะไม่ยอมกลับ! ฉันก็แค่อยากจะเห็นหน้าพี่ตลอดเวลา ฉันไม่กลัวอันตรายอะไรทั้งนั้น!”
พูดจบ น้ำตาก็ไหลพลั่งพลูอีกครั้ง
คุณนายใหญ่ที่ทนดูต่อไม่ไหว กำลังจะเดินไปต่อว่า เมื่อหร่วนซือซือเห็นแล้วจึงรีบยื่นมือไปจับแขนของคุณนายใหญ่ไว้ พูดขึ้นเสียงเบาว่า : “คุณยายคะ นี่เป็นเรื่องของอวี้อี่มั่ว ให้เขาจัดการเองเถอะค่ะ เราสองคนเข้าบ้านกันก่อนดีกว่า”
คุณนายใหญ่ที่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง เธอมองหร่วนซือซืออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเธอก็ไม่พูดมันออกมา คุณนายใหญ่จึงจูงมือของเธอเข้าบ้านไป
เย่หว่านเอ๋อที่เห็นหลังของหร่วนซือซือแล้ว ก็ร้องไห้หนักกว่าเก่า : “พี่มั่ว ทำไมหร่วนซือซือถึงอยู่ที่นี่ได้ แต่ฉันกลับอยู่ไม่ได้ล่ะคะ”
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่น : “มันไม่เหมือนกัน”
“เพราะอะไร!” เย่หว่านเอ๋อพูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่พอใจ : “เธอเป็นอดีตภรรยา ฉันเองก็เป็นอดีตภรรยา ทำไมเธออยู่ได้ แล้วฉันถึงอยู่ไม่ได้ล่ะ?”
คำพูดคำนี้ของเย่หว่านเอ๋อ ทำเอาอวี้อี่มั่วถึงกับอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก เขาขมวดคิ้วแน่น จ้องหน้าของเย่หว่านเอ๋อ โดยไม่พูดอะไร
อาจจะเป็นเพราะแววตาของเขาน่ากลัวเกินไป เย่หว่านเอ๋อจึงรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว จนเธออ้าปากค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็ค่อยๆดีขึ้น เย่หว่านเอ๋อรู้สึกว่าแค่ร้องไห้งอแงอย่างเดียวก็คงจะทำเป้าหมายที่เธอวางไว้ไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนน้ำเสียง : “พี่มั่วคะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฉันห่วงพี่มาก ที่ฉันเห็นพี่อยู่ตอนนี้ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฝัน ฉันกลัวว่าถ้าตื่นจากฝันแล้ว พี่ก็จะหายไป……”
พูดไปเธอก็เช็ดคราบน้ำตาไป น้ำเสียงนุ่มนวลและช้าลง เธอพูดอย่างน้อยอกน้อยใจว่า : “ฉันไม่ได้บอกว่าจะอยู่ที่นี่แล้วไม่ยอมไปไหนเสียหน่อย แต่อย่างน้อยๆก็ให้ฉันอยู่สักพัก แค่ 1 ชั่วโมง หรือทานข้าวด้วยกันสักมื้อ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วค่ะ…..”
คำพูดที่ชวนหวั่นไหวของเธอ ดวงตาที่แดงก่ำ น้ำเสียงที่ออดอ้อนและอ่อนโยน ดูเหมือนว่าเธอจะแลกความเห็นใจจากผู้ชายคนหนึ่งได้แล้ว ทุกคำพูด ทุกแววตา ทุกอริยาบทของเธอมีที่ไปที่มาเสมอ
หากเป็นเมื่อกี้ เธอจะโวยวายต่อไป อวี้อี่มั่วก็คงจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ แต่มาตอนนี้เธอเองดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว คำที่ขอก็ไม่ได้มากเกินไป อวี้อี่มั่วเองก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง
เย่หว่านเอ๋อสูดลมหายใจเข้า : “พี่มั่ว เห็นแก่ที่เราเติบโตมาด้วยกัน ให้ฉันได้อยู่เป็นเพื่อนพี่สักเดี๋ยวเถอะค่ะ อยู่เป็นเพื่อนทานมื้อเที่ยงกับพี่สักมื้อ แล้วฉันจะกลับไป ฉันไม่โกหกแน่นอน”
อวี้อี่มั่วได้ยินแบบนี้แล้ว เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นลงว่า : “ทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ฉันจะให้ตู้เยี่ยส่งเธอกลับไป”
เน่หว่านเอ๋อรีบพยักหน้าทันที : “ค่ะ ฟังพี่หมดเลยค่ะ”
หลังจากนั้น เธอก็เดินตามอวี้อี่มั่วและตู้เยี่ยเข้าไปในบ้าน คุณนายใหญ่และหร่วนซือซือที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาเมื่อเห็นเหตุการณ์แล้ว สีหน้าแต่ละคนก็ไปกันคนละทิศคนละทาง
สีหน้าของคุณนายใหญ่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ขมวดคิ้วแน่น จ้องตาเขม็งไปที่อวี้อี่มั่ว ส่วนหร่วนซือซือนิ่งสงบ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าอวี้อี่มั่วจะพาเธอเข้ามา
หากเธอยังจะคุยเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพกับคุณนายใหญ่ต่อ สมาธิของเธอก็คงไปอยู่ที่เย่หว่านเอ๋อและอวี้อี่มั่วหมดแล้ว
ส่วนอีกฝั่ง อวี้อี่มั่วที่โดนเย่หว่านเอ๋อกวนจนปวดหัว ปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้น จึงได้แต่รับปากให้มันจบๆไป แล้วหาข้ออ้างเรื่องงานหลบไปที่ห้องหนังสือแทน
พอดีกับที่คุณนายใหญ่ถึงเวลาทานยาแล้ว คุณป้าจึงพาคุณนายใหญ่กลับห้องไปทานยา เวลานี้ทั้งห้องโถงก็มีหร่วนซือซือและเย่หว่านเอ๋อเพียงสองคน
ในตอนแรกทั้งคู่อยู่ห่างกันมาก หร่วนซือซือเองนั่งอยู่ติดขอบหน้าต่างอ่านหนังสือนิตยสารอยู่
ส่วนเย่หว่านเอ๋อที่นั่งจิบชาอยู่ กำลังจ้องมองไปที่หร่วนซือซือ
ในที่สุด เย่หว่านเอ๋อก็ทนไม่ไหว เธอลุกขึ้น พร้อมกับเดินตรงมาที่หร่วนซือซือ
หร่วนซือซือที่กำลังนั่งอ่านนิตยสารอยู่ ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา แต่เธอก็ไม่ได้หันไป ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
เย่หว่านเอ๋อเดินมาจนถึงด้านหน้า เธอหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว ที่อยู่ตรงข้ามหร่วนซือซือ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “หร่วนซือซือ ฉันคงประเมินเธอต่ำเกินไปสินะ!”
หร่วนซือซือไม่ได้พูดอะไร
เย่หว่านเอ๋อพูดต่อว่า : “รอบก่อนเธอให้คนมาตีฉันจนสลบ แล้วเธอก็หนีไป ไม่นึกเลยว่าเธอจะเลวขนาดนี้”
หร่วนซือซือเหมือนจะมีปฏิกิริยาขึ้น มือที่พลิกนิตยสารอ่านอยู่ก็เลยหยุดลง เธอเงยหน้าขึ้น สีหน้าเย็นชา : “เธอยังจะมีหน้ามาพูดถึงเรื่องครั้งที่แล้วเหรอ?”
ครั้งนั้นที่หลังภูเขาจำลองของโรงพยาบาล ถ้าเกินเสี่ยวเหมิงไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เธอคงจะโดนเย่หว่านเอ๋อบีบคอจนตายแล้ว
หร่วนซือซือพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “เรื่องที่อวี้อี่มั่วหายตัวไป เธอก็โยนความผิดให้ฉัน เธอมีเจตนาไม่ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ก็แค่จะหาข้ออ้างมาทำร้ายฉัน ฉันพูดถูกหรือเปล่า?”
“อีกอย่าง พูดถึงเรื่องนั้นแล้ว จู่ๆฉันก็นึกขึ้นมาได้ เรื่องที่เธอไปทำอะไรเกี่ยวกับอายไลเนอร์ของคุณยาย ฉันยังไม่ได้บอกคุณยายเลย พอดีเลยที่วันนี้เธอมา จะได้พูดต่อหน้าทุกคนให้กระจ่าง เธอว่าดีหรือเปล่า?”
เย่หว่านเอ๋อที่ได้ยินเธอพูดออกมาแบบนั้น ก็หน้าขาวซีดทันที
หร่วนซือซือเก็บสีหน้าอารมณ์ไว้ในแววตาของเธอ ยิ้มขึ้นที่ปาก ปิดนิตยสารแล้ววางลงบนโต๊ะ พร้อมกับลุกขึ้น
เย่หว่านเอ๋อที่ตกใจอยู่ สีหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ ก็รีบลุกขึ้นตาม เธอยื่นมือมาจับแขนของหร่วนซือซือไว้ แล้วถามขึ้นว่า : “เธอจะทำอะไร?
หรือว่าตอนนี้เธอจะไปบอกเรื่องอายไลเนอร์กับคุณนายใหญ่แล้วก็อวี้อี่มั่ว?
ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด!