ลี่เย่ถิงที่อยู่ในรถไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ไปกินข้าวด้วยกันสิ”
“ฉันกินกับหยวนเป่าที่ชั้นบนเสร็จเรียบร้อยแล้ว” เฉียวเหวยอีตอบเบาๆ
แม้ว่าเธอจะเห็นว่าลี่เย่ถิงลดทิฐิลงและตั้งใจจะขอคืนดีกับเธอ
หลังจากนั้นเขาก็กวักมือเรียกซุ่ยซุ่ย “ไปกินข้าวกันเถอะ”
ไม่มีที่โอกาสสำหรับการกลับตัวเสียแล้ว
ซุ่ยซุ่ยมองเฉียวเหวยอีเดินจากไป และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
จนกระทั่งเฉียวเหวยอีจากไป เขาหันศีรษะและจ้องไปที่ลี่เย่ถิงอย่างเศร้าสร้อย
คนเป็นพ่อมองหน้าลูกชายและพูดอย่างเฉยเมย “เพราะลูกรั้งเธอเอาไว้ไม่ได้ พ่อจะไปช่วยอะไรได้ล่ะ ?”
“คงเป็นเพราะปะป๊าทำให้พี่สาวโกรธแน่ ๆ เลย !” ซุ่ยซุ่ยกระซิบ
ทุกครั้งที่ลี่เย่ถิงทำให้เฉียวเหวยอีโกรธก็มักจะขอให้เขาเกลี้ยกล่อมเธอเป็นประจำ
“เฮ้อ…” เขานั่งลงอย่างไม่พอใจ
ลี่เย่ถิงจ้องไปที่ด้านหลังศีรษะเล็กๆ ของลูกชายและขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้
“เหนื่อยจัง…” ซุ่ยซุ่ยถอนหายใจอีกครั้ง
“…” ลี่เย่ถิงเพิ่งค้นพบว่าการที่เฉียวเหวยอีกลับมาได้สองเดือนกว่านั้นทำให้ซุ่ยซุ่ยมีพัฒนาทักษะในด้านการสื่อสารขึ้นมากอย่างน่าเหลือเชื่อ ตอนนี้ไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเจ้าเด็กสามขวบนี่อีกแล้ว
ซุ่ยซุ่ยหันศีรษะมองดูเขาอีกครั้งและพูดกับเขาอย่างจริงจังว่า “คุณปู่บอกว่าคำขอโทษต้องจริงใจ แต่ปะป๊าไม่จริงใจ”
ลี่เย่ถิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เจ้าเด็กนี่กำลังสอนเขาอยู่งั้นเหรอ ?
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาตอบซุ่ยซุ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า “เข้าใจแล้ว”
เขาจะคิดหาวิธีที่จะทำให้เฉียวเหวยอีเปลี่ยนใจ
วันถัดมา
ถังหยวนเป่าพูดกับเฉียวเหวยอีแต่เช้าตรู่ว่า “วันนี้กลับไปบริษัทนะ”
“สัญญาฉบับก่อนของคุณมีปัญหา ดูเหมือนว่าจะมีใครสักคนไม่ได้ประทับตรา กระบวนการสัญญาเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งทาง สองวันนี้คุณไม่มีฉากต้องถ่ายทำพอดี พวกเราไปจัดการให้เรียบร้อยกันเถอะ”
มือขวาของเฉียวเหวยอีไม่ได้เจ็บมาก เธอจึงยังเซ็นได้ เธอพยักหน้าแล้วตอบว่า “โอเค”
ทั้งสองกลับไปที่บริษัท ถังหยวนเป่าที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์ เหลือบมองเข้าไปในกระเป๋าแล้วป้องริมฝีปากของเธอ “โอ้ ดูเหมือนฉันจะทำใบสัญญาหล่นไว้ที่บ้านซะแล้ว”
“…”เฉียวเหวยอีพูดไม่ออก
“บ้านของฉันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ รอฉันสักครู่นะ ฉันขอเวลาหนึ่งชั่วโมง” ถังหยวนเป่ากล่าวและรีบหันกลับไปที่ลิฟต์
เฉียวเหวยอีมองตามหลังเธอไปและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงไปรอที่ห้องนั่งเล่น
พนักงานสองคนของบริษัทเดินเข้ามาและก้มหน้าลงกระซิบกระซาบกัน
“ฉันได้ยินมาว่าคุณลี่จะมาที่บริษัทวันนี้ ฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการคุยกับประธานเกี่ยวกับการคืนเงินไหม”
“ถ้าข่าวลือเป็นจริง บริษัทของเราจะแย่ไหม?”
“ฉันว่ามันจริงนะ ไม่อย่างนั้นทำไมจู่ ๆ บริษัทถึงเลิกจ้างพนักงานล่ะ เมื่อเช้าก็เพิ่งออกไปอีกสองคนโดยไม่มีวี่แววอะไรเลย!”
เฉียวเหวยอีมองคนสองคนเดินผ่านไปด้วยความตกตะลึง
ไม่ไกลนัก มีร่างหนึ่งเอนกายพิงบริเวณที่นั่งริมหน้าต่าง มีเสียงอุทานดังขึ้น เฉียวเหวยอีชำเลืองมองอย่างเฉยเมย เธอหยิบโทรศัพท์ที่ซื้อเมื่อเช้าออกจากกระเป๋า แล้วกดโทรศัพท์ที่คุ้นเคยอย่างรวดเร็ว…หมายเลขโทรศัพท์ของลี่เย่ถิง
จากนั้นปลายนิ้วที่กำลังจะปุ่มโทรออกก็ลังเลอยู่เป็นเวลานาน
เสียงจากทางหน้าต่างสูงดังขึ้นเรื่อยๆ เฉียวเหวยอีเดินผ่านไป ขมวดคิ้วและเหลือบมองอีกครั้ง
ด้านนอกมีบอลลูนขนาดยักษ์สองสามลูกลอยผ่านบริษัทของพวกเขาอย่างช้าๆ
ตัวหนังสือที่แขวนอยู่บนบอลลูนทำให้เฉียวเหวยอีหยุดนิ่งอยู่กับที่
บนบอลลูนนั้นเขียนว่า “เฉียวอีเหริน คุณยินดีจะแต่งงานกับลี่เย่ถิงไหม ?”
บอลลูนอีกลูกที่อยู่ห่างไกลออกไป ก็มีข้อความเขียนไว้เช่นเดียวกัน