ทังหยางพลันเกลี้ยกล่อมออกมาว่า “ท่านอ๋อง ในยามนี้มิใช่เวลามาโกรธพระชายานะพะยะค่ะ ท่านก็รู้ดีว่าฮุ่ยติ่งโหวเป็นคนเช่นไร เขายังไม่ล่วงรู้ตัวตนของพระชายาอีก ยามนี้พระชายาตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว เกรงว่า แค่การตายจะเป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว”
“นั้นเป็นเพราะนางหาเรื่องใส่ตัวเอง ใครให้นางหาเรื่องวิ่งไปทั่วเช่นนี้กัน ” อวี่เหวินฮ่าวพลันหลี่ตาลง “ไม่ใช่ นี่มิใช่ว่านางไปหาฮุ่ยจิ่งโหวด้วยตนเองเช่นนี้ เป็นเพราะเรื่องงานแต่งของน้องสาวของนางงั้นหรือ?”
ทังหยางตกใจกับความคิดของท่านอ๋องที่คาดการณ์ออกมาในทันที พร้อมกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้นะพะยะค่ะ? พระชายามิได้เป็นคนกล้าหาญมากนัก”
“นางมิได้กล้า นางแค่โง่เง่าเท่านั้น” อวี่เหวินฮ่าวพลันกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่โมโหเป็นอย่างมาก
ซวีอีพลันถามออกมาว่า “เช่นนั้น เรื่องนี้เราจะทำเช่นไรกันดีหรือพะยะค่ะ? บุกตรงไปค้นหาที่จวนฮุ่ยติ่งโหวดีหรือไม่พะยะค่ะ ?”
“ไม่ไป! “อวี่เหวินฮ่าวพลันกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่เย็นชา
ทังหยางจึงกล่าวออกมาว่า “หากท่านอ๋องจะนำคนไปที่จวนฮุ่ยติ่งโหวนั้น มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก อีกทั้ง นี่ยังเป็นเพียงแค่ความคาดการณ์ของซวีอีอีกด้วย. หากคนมิได้อยู่ที่จวนฮุ่ยติ่งโหวแล้วเล่า ? ท่านอ๋องก็จักหาทางลงให้กับเรื่องนี้ได้ยาก ท่านอ๋องเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งเจ้ากรมการพระนครไปได้ไม่นาน หากมีข่าวลือที่ไม่ดีหลุดลอยไปแล้วละก็ จักรพรรดิย่อมต้องคาดโทษอีกเป็นแน่ ตำแหน่งของเจ้ากรมการพระนครของท่านอ๋องนั้น คงจะต้องหลุดมือไป หากแต่นี่ยังมิใช่เรื่องสำคัญเท่าอนาคตหลังจากนี้”
ซวีอีหน้าซีดเผือดไปในทันที “เช่นนั้น. พระชายาคงตกที่น่าลำบากแล้ว”
อวี่เหวินฮ่าวทั้งหงุดหงินทั้งโมโหพร้อมเอามือไพล่หลังเดินไปเดินมาถึงสองรอบ ภายในใจเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ไม่มีทางที่จะทำให้ใจเย็นลงได้เลย
ซวีอีและทังหยางพลันหันหน้ามาสบตากัน พวกเขาในยามนี้ควรทำเช่นไรดี ?
แต่งพระชายาเข้าได้ปีนึง ท่านอ๋องก็ถูกจักรพรรดิทอดทิ้งไปถึงหนึ่งปี แม้แต่ค่ายทหาร. ท่านอ๋องก็มิได้อนุญาติให้เข้าไป. จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสามารถเข้ารับตำแหน่งเจ้ากรมการพระนครในยามนี้ได้. หากมีข่าวลือหลุดลอยออกไปแล้วละก็ หลังจากนี้จะต้องทำเช่นไรดี?
อวี่เหวินฮ่าวพลันหยุดฝีเท้าลง. แล้วจึงหันมามองที่ซวีอี “ซวีอี เรียกกองทัพทหารในจวนมาให้หมด ทังหยางถ่ายทอดคำสั่งของเปิ่นหวางลงไปว่า กองกำลังทหารเฉาที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้ากรมการพระนครให้เข้าร่วมเป็นแนวป้องกันเพื่อเข้าร่วมกับทหารของจวนฉู่อ๋อง ออกเดินทางไปยังจวนฮุ่ยติ่งโหว”
ทังหยางได้ยินเช่นนั้น พลันตกตะลึง “ท่านอ๋อง ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะพะยะค่ะ. เพียงแค่ทหารภายในจวนเรายังพอได้. หากแต่ทหารของเจ้ากรมการพระนครนั้น. เราไม่ควรเข้าไปยุ่งจักดีกว่า การใช้ทหารของจวนเราย่อมต้องสามารถทำเรื่องร้องทุกข์ได้ดีกว่าเป็นแน่ การร่วมมือกับทหารในเจ้ากรมการพระนครนั้น นั่นถือเป็นคดีหนึ่งเลยนะพะยะค่ะ. หากหาพระชายาไม่เจอแล้ว นั่นถือเป็นการดูหมิ่นและเป็นการใส่ร้ายอย่างรุนแรงเลยด้วย อีกทั้งการใช้กองกำลังทหารของราชวงศ์ไปกับเรื่องส่วนตัวยังถือเป็นโทษที่ร้ายแรงอีกด้วยนะพะยะค่ะ”
อวี่เหวินฮ่าวยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “หากใช้เพียงกองทัพในจวนอ๋องนั้น. ย่อมไม่สามารถคิดบัญชีกับฮุ่ยติ่งโหว ทว่า กองทัพในจวนของฮุ่ยติ่งโหวนั้น ล้วนแต่เก่งกาจการต่อสู้ในสนามรบ. กองทัพในจวนของเราไม่อาจบุกเข้าไปได้แน่. หากเปิ่นหวางใช้กองทัพทหารของเจ้ากรมการพระนครออกไปในการทำคดีแล้วนั้น. เขาก็จะไม่สามารถหาเหตุผลอันใดมาขัดขวางหน้าที่การงานได้ หากเขาสามารถขัดขวางได้นั้น ย่อมหมายความว่ากฏหมายภายในแคว้นไม่มีอยู่จริง”
“เช่นนั้นเราจักหาข้อแก้ตัวอันใดดีพะยะค่ะ?”ซวีอีกล่าวถาม
อวี่เหวินฮ่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันกล่าวว่า “ให้กล่าวว่า มีคนรายงานว่าพบเห็นฮุ่ยติ่งโหวลักพาตัวพระชายาฉู่อ๋องบนถนน”
ทังหยางตกตะลึงเสีย. ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากเลย
“ท่านอ๋อง ท่านคิดดีแล้วหรือพะยะค่ะ? หากเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปแล้ว. ชื่อเสียงของท่านและพระชายาจะมัวหมองได้นะพะยะค่ะ”
ความคิดของอวี่เหวินฮ่าวพลันค่อยๆกระจ่างออกมา “เปิ่นหวางรู้ดี ว่าหยวนชิงหลิงต้องการจะทำอันใด นางมิได้สนใจชื่อเสียงของตนเองเลยแม้แต่น้อย เปิ่นหวางก็มิควรสนใจชื่อเสียงของตนเองเช่นกัน แม้ว่านางจะโง่เง่าไปบ้าง หากแต่ เมื่อนางได้เริ่มเดินก้าวแรกไปแล้วนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งนางได้ ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายใดก็ตาม สุดท้าย นางมักจะทำในสิ่งที่เปิ่นหวางคิดอยากจะทำมาโดยตลอด”
อวี่เหวินฮ่สวพลันเงยหน้าขึ้นมา พร้อมออกคำสั่ง “อย่าได้พูดเรื่องไร้สาระมากมาย ไปจัดการเรื่องทุกอย่างเสีย”
“พะยะค่ะ !” ทั้งสองพลันรับคำสั่งพร้อมเดินจากไป
หยวนชิงหลิงถูกรถม้าพามายังจวนตระกูลฮุ่ยติ่งโหว บนถนนที่ลากยาว. หยวนชิงหลิงจึงค่อยๆเปิดประเด็นหัวข้อเรื่องขึ้นมา “ท่านพาข้ามาเช่นนี้ ไม่อยากจะรู้ว่าข้าคือผู้ใดงั้นหรือ ?”
ฮุ่ยติ่งโหวใช้สายตามองหยวนชิงหลิงด้วยความชั่วร้าย “ในเมื่อล่อลวงมาแล้ว จักต้องถามที่มาไปทำไมกัน ?”
หยวนชิงหลิงพลันเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านคือฮุ่ยติ่งโหวใช่หรือไม่ ?”
ฮุ่ยติ่งโหวไม่รู้สึกแปลกใจที่นางรู้เรื่องเลยสักนิด เพียงแต่โน้มตัวเข้ามาหาหยวนชิงหลิง “กลัวหรือ?”
ใบหน้าที่เข้ามาอยู่เบื้องหน้านั้น แววตาที่รุกราวกับเปลวไฟ ฮุ่ยติ่งโหวที่มองเข้าไปกลับรู้สึกอยากจะสัมผัสเปลวเพลิงนั่นเหลือเกิน ริมฝีปากพลันกระตุกยิ้มขึ้นมา แม้ว่าจะมิดูเหมือนรอยยิ้มเลยสักนิด หากแต่ เสมือนเป็นสัญลักษณของความโชคร้ายเสียมากกว่า ความน่ารังเกียจ ความบ้าคลั่งของคนผู้นี้. ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายความรุนแรง. หยวนชิงหลิงมิกลัวว่ามันจะเป็นของปลอมเลยแม้แต่น้อย. หากแต่ ริมฝีปากของนางพลันสั่นเทาเบาๆ “กลัวสิ ท่านเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้ ทข้าย่อมต้องกลัวอยู่แล้ว ” มือทั้งสองข้างของนางล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ. หวังว่านางจะสามารถเปิดกล่องยาได้. หวังเพียงว่านางจะสามารถหยิบสิ่งใดติดไม้ติดมือออกมาได้บ้าง
หากแต่. ฮุ่ยติ่งโหวพลันสังเกตุได้ทัน พร้อมทั้งยังจ้องไปที่มือของนางด้วยสายตาที่เย็นชา. แล้วจึงคว้าข้อมือของหยวนชิงหลิงด้วยความรุนแรง ผ้าเช็ดหน้าในมือของหยวนชิงหลิงพลันหลุดลอยไปทันที พร้อมทั้งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยต่อหน้าของฮุ่ยติ่งโหว
ฮุ่ยติ่งโหวพลันบีบคางของนางขึ้นมาในทันที. แล้วจึงบังคับให้นางเงยหน้าขึ้นมามองเขา แววตาของเขามีท่าทีที่เยาะเย้ยออกมา. “พระชายาฉู่อ๋อง ตามเปิ่นโหวมาสองสามวันแล้ว มิรู้ว่ามีแผนการอันใดกัน ?”
ในครานี้ หยวนชิงหลิงตกตะลึงอย่างแท้จริง. เหตุใดเขาถึงล่วงรู้ตัวตนของนางได้กัน ? ฮุ่ยติ่งโหวรู้ตัวตนของนางเช่นนี้แล้ว จึ งกล้าลักพาตัวนางบนท้องถนนเช่นนี้อีกหรือ พระเจ้า. คนที่เย่อหยิ่งเช่นนี้ เหตุใดถึงเดินมาได้ไกลถึงเพียงนี้กัน ?
หยวนชิงหลิงที่คิดว่า ตนเองวางแผนมาอย่างรัดกลุมแล้วนั้น ไม่คาดคิดเลยว่า ตนเองจะดึงดูดความสนใจเขามาตั้งแต่แรกแล้ว ภายในใจของนางพลันยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น หากมั่นใจเกินไปก็จะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้เช่นนี้
“หรือ” ฝ่ามือของเขาพลันเพิ่มแรงมากขึ้น บีบคางของหยวนชิงหลิงเสียราวกับกรามของนางจักแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แววตาที่เต็มไปด้วยความอันตรายนั้น กล่าวถามว่า “เป็นฉู่อ๋องสั่งให้เจ้ามากัน”
หยวนชิงหลิงพลันต่อต้านความเจ็บปวด พร้อมพูดขึ้นด้วยท่าทีที่ลำบากว่า “มิได้เกี่ยวกับฉู่อ๋องแต่อย่างใด ข้าเพียงแต่อยากมาเห็นหน้าค่าตาของน้องเขยในอนาคตของข้าจักเป็นคนเช่นไรกันแน่ ? ”
“น้องเขย?” ฮุ่ยติ่งโหวะงักไปเล็กน้อย. พลันนึกอะไรบางอย่างออกขึ้นมาในทันที เขาพลันหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ใช่แล้ว อีกไม่นานเปิ่นโหวจักต้องแต่งคุณหนูรองตระกูลจิ้งโหวเข้ามาแล้ว”
หยวนชิงหลิงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ขึ้นมานั้น พลันรับรู้ได้ว่า เขามิได้คิดจะจริงจังกับการแต่งงานในครั้งนี้เลย ไอสารเลวจิ้งโหวนั่น. ช่างไม่สนใจชีวิตความเป็นความตายของลูกสาวตนเองจริงๆ!
ฮุ่ยติ่งโหวพลันปล่อยมือออกจากคางของหยวนชิงหลิงในทันที พร้อมทั้งลูบไล้ใบหน้าของนางเบาๆ “วางใจได้ ความสัมพันธ์ในครั้งนี้ เปิ่นโหวจักอ่อนโยนต่อเจ้าให้มาก”
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนเช่นนี้ หยวนชิงหลิงมิได้สงวนท่าทีการเป็นพระชายาเพื่อมาข่มขู่ต่อหน้าเขาแต่อย่างใด. เนื่องจากรู้ว่าอย่างไรแล้วก็คงไม่มีประโยชน์เป็นแน่ อีกทั้งยังจะทำให้ดูเป็นที่ตลกขบขันอีกต่างหาก ในเมื่อเขาล่วงรู้ตัวตนของนางเช่นนี้แล้ว. ยังกล้าลักพาตัวนางมาอีกหรือ. เขามิได้เอาอวี่เหวินฮ่าวมาอยู่ในสายตาเลยหรืออย่างไร ทว่า เหตุใดเขาถึงกล้าสามารถทำเรื่องเช่นนี้อย่างอุกอาจได้กัน?
“ท่านโหวกล้าลักพาตัวพระชายาเช่นข้ามาเช่นนี้แล้ว มิกลัวจะทำให้ท่านอ๋องโกรธหรืออย่างไร ? “หยวนชิงหลิงพลันเอ่ยถามขึ้นมา
“มีใครเห็นกัน ?”เขายิ้มออกมาด้วยความเย็นชา “หากเห็นแล้วอย่างไร ฉู่อ๋องย่อมไม่สามารถพลิกแผ่นดินหาได้อยู่ดี เขายังมีความผิดติดอยู่ที่หางเช่นนี้ จะกล้าทำอันใดเปิ่นโหวกัน ?”
หยวนชิงหลิงพลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมาในทันที ฮุ่ยติ่งโหวพูดขึ้นมาอย่างมีเหตุผล หากอวี่เหวินฮ่าวรู้ว่านางอยู่ในกำมือของฮุ่ยติ่งโหวแล้วอย่างไร เกรงว่า เขาก็คงไม่สามารถออกหน้ามาช่วยนางได้อยู่ดี. ฮุ่ยติ่งโหวเป็นคนของตระกูลฉู่ ตระกูลฉู่มีบุคคลที่อวี่เหวินฮ่าวทั้งรักทั้งเถิดทูลมิอยากให้โดนลงโทษอยู่อีกคน
ดูเหมือนว่าหนทางในการหนีครานี้ นางจักต้องพึ่งตนเองแล้วกระมัง
หยวนชิงหลิงพลันถูกพาเข้ามายังประตูจวนของจวนฮุ่ยติ่งโหว ผู้ที่สวมใส่อาภรณ์บุรุษ หากแต่มวยผมแบบสตรีเช่นนี้ ผู้คนในจวนฮุ่ยติ่งโหวมิได้รู้แปลกใจแต่อย่างใด อีกทั้งยังถือว่าเป็นเรื่องปกติเสียด้วยซ้ำ งานอดิเรกของท่านโหวนั้น มีผู้ใดไม่รู้บ้าง ?
“เปิ่นโหวต้องไปจัดการอะไรบางอย่างเสียหน่อย. พวกเจ้าคอยเฝ้านางเอาไว้” ฮุ่ยติ่งโหวพลันลากหยวนชิงหลิงให้เข้าไปในห้อง พร้อมทั้งออกคำสั่งกับสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย
“เพคะ” สาวใช้ทั้งสองพลันก้มลงโค้งคำนับ
หยวนชิงหลิงแอบประเมินดูสาวใช้ทั้งสองแล้วนั้นมีรูปร่างที่สูงใหญ่ มีพละกำลังแข็งแรง เสมือนว่าพวกนางจักเป็นวรยุทธ์ หากนางต้องการจะหนีออกจากสาวใช้พวกนี้แล้วละก็ หากจะใช้พละกำลังเข้าสู้แล้ว คงจะเป็นไปไม่ได้ หากว่า หยวนชิงหลิงพลันเปิดกล่องยาในแขนเสื้อออกทันที พร้อมแววตาที่แปล่งประกาย
“พี่สาวทั้งสอง ข้าอยากปลดทุกข์ ไม่ทราบว่าห้องส้วมอยู่ที่ใดงั้นหรือ ?” หยวนชิงหลิงพลันกล่าวถาม
เมื่อสาวใช้ทั้งสองเห็นว่า หยวนชิงหลิงไม่มีท่าทีที่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังสวมใส่อาภรณ์บุรุษหากแต่ใบหน้าราวกับสตรีเช่นนี้ เมื่อมองดูใบหน้ารูปทรงคิ้วแล้ว พลันให้นึกบุปผาที่เบ่งบาน หากแต่ ท่านโหวสั่งให้นางเฝ้าคนผู้นี้ไว้ พร้อมกล่าวว่า “ด้านหลังฉากกั้น มีถังปลดทุกข์อยู่”
“ไม่มีห้องส้วมงั้นหรือ ?” หยวนชิงหลิงพลันขมวดคิ้วลง
“ไกลเกินไป. ท่านโหวสั่งให้ไม่ให้ออกจากห้องนี้ เกรงว่าเหล่าสุนัขเลวพวกนั้นจะรบกวนแม่นางได้”
สุนัขเลว ? ยามที่หยวนชิงหลิงเดินเข้ามานั้น พลันได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าออกมา เกรงว่าจะเลี้ยงสุนัขพวกนั้นไว้เฝ้าจวนกระมัง แล้วไป. หากด้านหลังฉากกั้นนั้นก็คงจะเปิดกล่องยาได้กระมัง พวกนางคงไม่เข้ามาจับตามองถึงยามที่นางทำธุระส่วนตัวใช่หรือไม่ ? เมื่อหยวนชิงหลิงเข้ามาข้างหลังฉากกั้นแล้ว พลันก้มตัวนั่งลงบนถังปลดทุกข์. อีกทั้งยังตั้งใจฟังเสียงของสาวใช้ด้านนอกอย่างละเอียดด้วย สาวใช้ทั้งสองพลันยืนอยู่ด้านนอกมิได้ขยับกายไปไหน หยวนชิงหลิงจึงค่อยๆนำกล่องยาของนางออกมา ก่อนหน้านั้นที่ถามยืมกริชจากซวีอีมานั้น นางก็ได้นำมาใส่ไว้ในกล่องยาไว้แล้ว ทว่า เมื่อเก็บกล่องยาลงนั้น เป็นเพราะมีกริชวางไว้อยู่ด้านใน กล่องยาจึงไม่สามารถหดตัวให้เล็กลงได้ สุดท้ายหยวนชิงหลิงก็มิได้ใส่กริชลงไป
เมื่อดูจากสถานการณ์ในยามนี้แล้วนั้น ยาสลบคงเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในยามนี้กระมัง หากแต่ หยวนชิงหลิงมิคิดว่ายาชาเพียงหลอดเดียวของนาง จะเพียงพอสำหรับคนหนึ่งคนได้ หากว่าเป็นฮุ่ยติ่งโหวนั้น นางคิดว่ายาสลบคงอยู่ได้ไม่เกินสามนาทีเป็นแน่ นางค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง พลันจำได้ว่านางมีเตตราเคนอยู่หลายขวดเลยทีเดียว. เหตุใดถึงไม่เห็นแล้วกัน ? กล่องยา ครานี้เจ้าไม่ได้เรื่องเสียจริง ภายในใจของหยวนชิงหลิงแอบกังวลเล็กน้อย
“แม่นางใกล้เสร็จแล้วหรือยัง?” เสียงคำถามที่ดังอยู่ด้านนอกพลันดังเข้ามา.
“ใกล้แล้ว ” หยวนชิงหลิงพลันตะโกนกลับไป