สีหน้าของโม่หานไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาหันศีรษะมองอู๋เหิง “ตอนบ่ายไม่มีอะไร ไปเที่ยวรอบๆอย่างอิสระกันเถอะ เพื่อนเก่าของคุณ ฉันจำได้ว่าอยู่ที่นี่ ไปประชุม”
มู่เฉียวสังเกตว่าสีหน้าของอู๋เหิงมืดมนลงทันที ใบหน้าเขาบูดบึ้ง “ไปทำไม ? ไปดูครอบครัวเขามีความสุขขนาดไหนเหรอ ?”
โม่หานหรี่ตา และหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดออก ส่งให้กับอู๋เหิง “ดูเองละกัน”
อู๋เหิงหยิบมันขึ้นมาด้วยความงุนงง จากนั้น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เบิกกว้างราวกับได้เห็นโลกใหม่ เขามองโม่หาน “สิ่งนี้ได้มาจากไหน ?”
“แผ่นที่อยู่ข้างหลังอีกหน้า อีกเดี๋ยวส่งวีแชทให้คุณ รีบไปเถอะ”
อู๋เหิงเหลือบมองโม่หานอย่างซาบซึ้ง แล้วตบไปที่ไหล่ของเขา “คุ้มแล้วพี่ชายที่ผมรักคุณโดยไม่เปล่าประโยชน์”
หลังจากที่อู๋เหิงจากไป โม่หานก็มองไปที่หลินซานอีกครั้ง “ตอนบ่าย ผมยังมีธุระอยู่ทางนี้อีกนิดหน่อย” ความหมายก็คือ เขาไม่มีเวลาไป โบส์ถอะไรนั่น
เมื่อเห็นโม่หานจากไป มู่เฉียวก็ภูมิใจเล็กน้อย
ทันใดนั้น จังหวะการก้าวเท้าของชายหนุ่มก็หยุดลง และชายคนหนึ่งก็หันกลับมามองมู่เฉียวแล้วพูดอย่างเป็นทางการว่า “คุณมู่ ผมยังต้องการให้คุณมาทำธุระกับผมในตอนบ่าย”
มู่เฉียวตอบกลับไป “อ่อ ค่ะ ประธานโม่” จากนั้น เธอก็รีบตามเขาไป
……
เมื่อมองไปที่โบสถ์ข้างหน้า มู่เฉียวก็หันศีรษะมองโม่หาน “คุณนี่รู้ไส้รู้พุงของฉันหมดเลยรึเปล่า ?”
ชายหนุ่มรั้งเอวของเธอไว้ “ถ้าไม่มาดู เกรงว่าตอนกลางคืนจะมีคนนอนไม่หลับ”
มู่เฉียวเม้มริมฝีปากและยิ้ม “พูดมาตรงๆ ว่าทำไมถึงเคยอยู่ด้วยกัน…….”
“ในตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น พวกเราอยู่คณะเดียวกัน ตอนเรียนจบ ทุกคนจึงนัดกันมาที่นี่ ดังนั้น ก็เลยมาด้วยกัน แต่มาด้วยกันเป็นกลุ่ม”
มู่เฉียวพยักหน้า ตกลง หลินซานคนนี้ก็จริงๆเลย เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่ม แต่ทำไมเธอต้องพูดแบบคลุมเครือด้วย
“คุณก็รู้ว่าเธอชอบคุณ แล้วทำไมถึงยังให้เธอมาทำงานที่บริษัท ?”
โม่หานพาเธอไปนั่งใต้เก้าอี้นอกโบสถ์ ลมพัดเบาๆ และใบไม้ก็ร่วงลง ซึ่งบังเอิญตกลงมาบนผมยาวของมู่เฉียว ชายหนุ่มค่อยค่อยดึงออกให้เธอก่อนจะพูดว่า:“ ในสายตาของผม นอกจากคุณแล้ว ผู้หญิงคนอื่นก็มีเพียงประโยชน์เหมือนกับผู้ชาย คุณอย่าลืมนะว่าผมเป็นนักธุรกิจ ผมจะไม่คบถ้าไม่ได้ผลประโยชน์ นั่นคือหลักการของผม ผมไม่ปฏิเสธว่าผมฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของเธอ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะที่สูงของเธอในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าใช้เงินก็จะได้มา และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ดีใช่ไหม ”
มู่เฉียวหันศีรษะและมองไปที่โม่หานอย่างเหลือเชื่อ เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ ช่างน่ากลัวและน่ารังเกียจจริงๆ
เธอควรจะขอบคุณชายคนนี้ดีไหมนะที่ไม่ใช้ความน่ารังเกียจของเขากับตัวเธอ ?
ชายหนุ่มปิดตาของเธอ และโน้มตัวลงมาจูบริมฝีปากเธอ “อย่าใช้สายตาแบบนี้มองผม แล้วก็เชื่อผม ผมแยกได้ว่าใครสำคัญใครไม่สำคัญ และผมจะไม่ให้โอกาสใดกับเธออีก”
เขาพูดแบบนี้ออกมาแล้ว มู่เฉียวยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ ?
เมื่อหันกลับมา เธอมองไปที่ข้างหลังโบสถ์ “พวกเราเปลี่ยนสถานที่กันเถอะ”
โม่หานจับแขนของเธอแล้วขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไปเหรอ ?”
มู่เฉียวเหลือบมองเขา “ฉันไม่สนใจความทรงจำของคุณและคนอื่น” รู้ทั้งรู้ว่าเขากับหลินซานไม่ได้มีอะไรเลย แต่มู่เฉียวก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา
อารมณ์ของชายหนุ่มดีและไม่ได้พูดอะไร เขาแค่จับเอวของเธอไว้และพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ตกลง ฟังคุณ พูดมา คุณอยากไปไหน ?”
มู่เฉียวชี้ไปข้างหน้า หลังจากนั้นก็โบกมือ “สถานที่แห่งนี้ ฉันมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีที่ที่อยากจะไป หรือไม่ คุณก็เดินเป็นพื่อนฉัน ไม่ต้องทำอะไร ตกลงไหม ?” ตอนอยู่ในประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยง ทั้งสองคนไม่เคยได้จับมือเดินเที่ยวด้วยกันแบบนี้เลย
โม่หานเหลือบมองมู่เฉียวโดยไม่ได้ตั้งใจ และนึกถึงคำพูดของอู๋เหิงที่ดังอยู่ในหูของเขา “มีผู้หญิงที่ไหนกันเมื่อมาถึงฝรั่งเศสแล้วจะไม่ช็อปปิ้ง คุณนี่นะ ระวังบัตรของคุณรูดจนหมดล่ะ”
แต่ จนท้ายที่สุด มู่เฉียวก็ไม่ได้ซื้อของอะไรเลย เธอซื้อแค่น้ำสองขวด และเธอก็ยังเป็นคนจ่ายอีก
เขาอยากจะบอกกับอู๋เหิงมากว่า ผู้หญิงของโม่หาน ไม่ซื้อของอะไรเลยจริงๆ ไม่เหมือนกับคนอื่น
“โม่หาน คุณแบกฉันหน่อยได้ไหม ?”
ทันใดนั้นเธอก็นั่งยองๆอยู่ที่พื้น โม่หานมองตามลงไป ถึงพบว่าเธอใส่รองเท้าส้นสูง และเดินมาตั้งนานขนาดนี้ แต่เขากลับไม่ได้สังเกต และทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจว่าเขาไม่ได้ประมาท
“คุณดูสิ เท้าของฉันล้าไปหมดแล้ว ”เมื่อมู่เฉียวพูดแบบนี้ ทำให้นึกถึงคำพูดของเล่อเชี่ยงหย่วน “คุณใส่รองเท้าส้นสูงไม่ได้”
โม่หานพยุงเธอไปนั่งบนเก้าอี้พักผ่อนด้านข้าง จากนั้นเขาก็นั่งลงต่อหน้ามู่เฉียว แล้วมองดูส้นเท้าที่เจ็บทั้งสองข้างของเธอ จากนั้นเขาก็ถอดรองเท้าของเธอทั้งสองข้างออกมา และโยนทิ้งลงไปในถังขยะข้างๆ จากนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ “ไปกันเถอะ ผมจะแบกคุณเอง ไปหาซื้อรองเท้าที่เหมาะสมกับคุณก่อน แล้วค่อยกลับโรงแรม”
เดิมทีมู่เฉียวแค่แกล้งเล่น ที่นี่มีผู้คนตั้งมากมายเดินไปมา โม่หานไม่อาย เธอรู้สึกเขินอาย แต่ว่ารองเท้าของเธอก็ถูกโม่หานโยนทิ้งไปแล้ว เมื่อคิดไปคิดมา เธอก็ยังคงปีนขึ้นไปบนหลังของโม่หาน
รอบดวงตาของเธอมีน้ำตาเล็กน้อย ในปีนั้นที่ต่างประเทศ เธอพูดกับเล่อเชี่ยงหย่วนว่าตัวเองเจ็บเท้า ให้เขาอุ้มหน่อย แต่เขากลับให้เธอนั่งรอตรงนั้น แล้วเขาไปซื้อรองเท้ามาให้เธอ
ต่อมา เธอไม่มีความสุข เชี่ยงหย่วนบอกว่าคนเยอะเกินไป ขอโทษนะ
ถ้าหากมองดูอย่างละเอียดก็จะรู้ว่าชายคนหนึ่งจะสนใจเธอหรือไม่ ไม่ว่าวันนี้จะเป็นโม่หานหรือ
ทั้งสองคนเกิดมาดี ดังนั้นมู่เฉียวจึงอายเล็กน้อย เมื่อถูกเขาแบกอยู่บนหลังในถนนแบบนี้ มีผู้คนจำนวนมากหันมามอง
อย่างไรก็ตาม ประมาณยี่สิบกว่านาทีนี้ โม่หานไม่ได้หยุดพักเลย ระหว่างทาง เธอแนะนำให้ขึ้นรถ
“แบกคุณไว้ที่หลังแบบนี้ก็ยังสามารถขยับได้ ผมแบกไหว”
เมื่อผ่านร้านขายยาจีน โม่หานก็ไปซื้อยาฆ่าเชื้อและปลาสเตอร์แปะแผล และในร้านขายยาเขาก็ช่วยเธอล้างฆ่าเชื้อและผันแผลให้กับเธอ ในเวลานี้ เขาไม่ใช่โม่หานที่สูงส่งคนนั้นอีกแล้ว แต่เป็นเพียงสามีของมู่เฉียว
เมื่อมาถึงร้านทำรองเท้าระดับไฮเอนด์ โม่หานก็ให้มู่เฉียวนั่งพักผ่อนอยู่บนโซฟา แล้วบอกว่าเขาจะไปช่วยเลือกรองเท้ามาให้เธอสักสองสามคู่
เมื่อเห็นว่า เขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องออกมาจากปากของเขา มู่เฉียวก็แปลกใจเล็กน้อย เธอถึงรู้ว่า ที่แท้การพาเธอมาเป็นล่ามจริงๆแล้วก็เป็นเพียงข้ออ้าง ปรากฏว่าโม่หานของเธอยอดเยี่ยมจริงๆ
ในแววตามีความชื่นชมเขาอยู่
เมื่อกลับมาถึงโรงแรมหลังจากซื้อรองเท้าแล้ว มู่เฉียวก็ปฏิเสธที่จะให้โม่หานแบก แล้วทั้งสองคนก็เข้าไปในโรงแรมทีละคน
“ฉันไปอาบน้ำที่ห้องก่อนนะ” มู่เฉียวพูดกับโม่หานในลิฟต์
“ผมจะไปกับคุณ”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว
“เท้าของคุณโดนน้ำไม่ได้ ”หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ เขาก็เดินออกจากลิฟต์ไปก่อน
มู่เฉียวแลบลิ้นให้แผ่นหลังของเขา แต่ในหัวใจกลับหวานชื่นเหลือเกิน
แต่ เมื่อทั้งสองคนเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูห้อง พวกเขาก็ได้ยินเสียง “ช่วยด้วย” ดังออกมาจากห้องข้างๆ