ตอนที่เซียวอู๋ได้ยินชื่อซูหย่าคนนี้ครั้งแรก เป็นพ่อเซียวที่แจ้งเขาว่าให้กลับมาดูตัว
“อีกฝ่ายเป็นลูกสาวของตระกูลซู ในอนาคตจะมีประโยชน์ต่อหน้าที่การงานของคุณ” นี่คือคำพูดเดิมของพ่อ
เซียวอู๋อดหัวเราะไม่ได้ เขาไม่เคยรู้มาก่อน ว่านี่เป็นแผนการของพ่อเพื่อหน้าที่การงานที่ดีขึ้นของเขา
“เสี่ยวหวู่ คุณก็ถึงช่วงวันที่จะแต่งงานแล้ว ลูกสาวตระกูลซูคนนั้น สวยความประพฤติดี และที่สำคัญคือเป็นเด็กที่รู้จักคิด”
นี่คือคำพูดของแม่
แต่เซียวอู๋ไม่เข้าใจ รู้สึกว่าเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ถึงได้พูดแบบนี้ มันเป็นคำพูดที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ถ้าพวกเขาปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ ก็จะไม่ปล่อยให้เขาเผชิญกับค่ำคืนที่เดียวดายลำพังแบบนั้น ฉะนั้น ภาพความทรงจำของเขาต่อซูหย่าจึงแย่อย่างมาก
หลังจากวันแรกที่กลับมา เขาได้เจอกับเล่อจยา เพื่อนร่วมชั้นในตอนนั้นที่ทั้งซื่อบื้อทั้งโง่ ในตอนนั้นเขาคิดว่า ถ้าวันหนึ่งในอนาคตจะต้องแต่งงาน เป็นอย่างนี้ก็ดี รู้รากเหง้ากันแล้ว ที่สำคัญไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจและอิทธิพล และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ จะทำให้พ่อแม่โกรธ
เขาคาดไม่ถึงว่า วันที่มานัดดูตัวซูหย่า จะได้เจอเล่อจยาอีกครั้ง
แต่ซูหย่าอันที่จริงก็สวยมาก แต่ดูเหมือนนิสัยไม่ค่อยดี เพราะเป็นเพื่อนสนิทกับเล่อจยา เขาจึงเชื่อว่าจะไม่แย่เกินไป
กับเล่อจยาเขาเข้าใจ ว่าโง่และไร้เดียงสามาก แต่เขาไม่อยากฟังการจัดการของพ่อแม่ ฉะนั้นเขาจึงไม่ชายตามองเธอเลย แต่เขาแสดงออกว่าสนใจเล่อจยามาตลอด
เห็นเล่อจยาไปห้องน้ำ เขาก็ตามออกไป ระหว่างที่เดิน เขาก็มองซูหย่าด้วยสายตาลึกซึ้ง
เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อเขาสารภาพรักกับเล่อจยา เขาก็เห็นซูหย่าแอบอยู่ที่มุม
เขายอมรับ เขาใช้ประโยชน์จากเล่อจยา เขาอยากให้ผู้หญิงคนนั้นถอยออกไป
แต่ที่เกินคาดก็คือ เปล่าเลย……
ที่เหนือไปกว่านั้น ซูหย่าบอกว่าเธอตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น เธออยากหัวเราะเธอยังคงอยากเป็นผู้หญิงของตนเองอยู่ใช่ไหม? แต่ก็หัวเราะไม่ออก ผ่านนานไปเขากลับนึกถึงวันนั้น บางทีเขาก็อยากจะเปลี่ยนความคิด
ฉะนั้นต่อมาก็รังเกียจเธออย่างเธอได้ชัด และใจร้ายกับเธอมาตลอด
ในคืนนั้น รู้ดีว่าเธอวางกับดักกับตน แต่เขายังคงทำตามแผน
อาจเป็นการกบฏในใจที่ทำให้เขามักจะกีดกันซูหย่าอย่างสุดความสามารถ
ต่อมาคาดไม่ถึงว่าเธอจะไม่สนใจความคิดเห็นของตน ตัดสินใจแต่งงานครั้งนี้เป็นการส่วนตัว นี่ทำให้เขากีดกันเธอมากขึ้นไปอีก
เมื่อรู้ว่าเธอท้อง เขายังคงสะเทือนใจ ลืมไม่ลงจนถึงตอนนี้ แต่เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวอย่างนั้น พ่อแม่ที่มีเจตนาแอบแฝงเช่นนั้น ปล่อยให้เขาแต่งงานไป เมื่อเด็กคนนี้เกิดมา เขาก็จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
ฉะนั้นเขาจึงส่งเธอกลับไป เมื่อลูกน้องเข้ามารายงาน เขาก็ดื่มเหล้าอย่างมาก ไม่ได้นอนทั้งคืน ความเจ็บปวดในใจ เขายากที่จะอธิบาย เล่อจยาโทรหาเขา เขาแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเลือดบนเตียง เขาเสียใจมากจริงๆ เขารู้สึกว่าเขาโหดเหี้ยมมาก จึงสามารถลงมือกับเธอได้ จึงสามารถทำลายเลือดเนื้อของตนเองด้วยมือตนเอง
เวลานั้นที่ซูหย่าเข้าห้องผ่าตัดไป เซียวอู๋ก็ภาวนาว่าให้เด็กคนนั้นรอด
เมื่อหมอบอกว่าเด็กไม่อยู่แล้ว เซียวอู๋รู้ว่า ตนเองจะต้องไม่สบายใจไปตลอดชีวิต ตนเองติดหนี้ผู้หญิงคนนี้ไปตลอดชีวิต
ต่อมาหลังจากที่แต่งงาน เขามีวิธีที่จะผลักไสออกไป แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้าสิ่งนี้จะทำให้ซูหย่าดีขึ้นบ้าง เขาก็จะไม่คัดค้าน
การเข้าหอในคืนนั้น ร่างกายของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกโลภ แต่ภายในใจปฏิเสธอย่างมาก
เขาใช้คำพูดหยาบคายมากลบหัวใจที่สั่นสะท้าน
เมื่อเห็นเธออยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมกับปี๋ไค เขาไม่อยากยอมรับว่าตนเองหึง แต่สุดท้ายเขาก็ยังเอ่ยเรียกร้องให้เธอเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร เขาคิดแล้ว ก็เหมือนว่าตนเองเห็นแก่ตัว
เขาใช้อุบายที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของตัวเอง
การอยู่ร่วมกันในกองทหาร ทำให้เซียวอู๋ยิ่งเข้าใจว่า ซูหย่าดีมากจริงๆ เขาพบว่าสายตาของตนเองที่มองเธอ กลับมองได้ยาวนานมากขึ้น
วันนี้ที่เธออ้างว่าจะไปพบเล่อจยา แต่กลับไปนัดพบกับปี๋ไค ชายคนนั้นพูดยั่วยุกับตนเองว่า พวกเขารักกันอย่างจริงใจ
บางที เขาก็อิจฉาจริงๆ รู้ดีว่าภารกิจวันนี้อันตรายแค่ไหน เขาก็ยังจะไป
หลังจากนั้นทุกอย่าง ก็เริ่มหลุดพ้นจากความคิดของตัวเอง
เมื่อเขาเกิดเรื่อง คนทั้งหมดต่างมองเขาเหมือนผัก มีเพียงตัวเขาเองที่รู้ เขาได้ยิน แล้วก็มีความคิด
เขาได้ยินถึงความรู้สึกที่เย็นชาของคนในห้องผู้ป่วย คนทั้งหมด เริ่มทยอยห่างหายไปจากเขา
เพื่อนทหารที่ร่วมรบพูดบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้หัวใจของเขาหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่า ขณะที่ตนเองกำลังผ่าตัด มีคนกระทำการบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้
เขายิ่งไม่คาดคิดว่า ลูกของซูหย่ายังอยู่
เห็นเธอทำเพื่อตนเองโดยไม่ลังเลใจ เขาเลยคิดว่า ถ้าชีวิตยังสามารถหยัดยืนได้ต่อไป เขาจะพยายามทำดีกับเธอให้ถึงที่สุด
แต่เขาก็ไม่รู้ว่า หลังจากที่ตนเองทำร้ายเธอมาเป็นเวลายาวนานมาก
แต่เพราะของแข็งนั้นที่อยู่ในสมองของเขาทำให้ความรู้สึกของเขาเลือนรางไปเล็กน้อย ไอคิวของเขาเริ่มค่อยๆ มีปัญหา
เริ่มแรก เขาพยายามที่จะรีเฟรชตัวเอง เพราะเขายังติดหนี้การสมรสกับผู้หญิงคนนั้น
แต่เมื่อพ่อแม่เซ็นยินยอมให้เขาย้ายไปอยู่โรงพยาบาลจิตเวช สติสัมปชัญญะของเขาพังทลายลงทันที
เขาเริ่มมีไอคิวเหมือน”เด็ก”สองสามขวบ
เรื่องราวหลังจากนั้น ผ่านพ้นไปหลายเดือน จึงฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ เขาจึงค่อยๆ จดจำขึ้นมาได้
ความโง่เขลาของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาคิดได้ รู้สึกเจ็บปวดใจจนแทบจะเป็นสายเลือด แต่ทำให้เขาเข้าใจเหตุผลหนึ่งว่า เขาต้องให้ครอบครัวที่มั่นคงและปลอดภัยกับผู้หญิงคนนี้ แล้วก็ต้องให้การสนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง
ดังนั้น รู้ดีว่าเอ่ยปากหย่า ผู้หญิงจะโกรธ เขาก็ยังจะเอ่ยปาก
ไม่มีใครรู้ว่า กี่วันกี่คืน ที่เขาคิดถึงเธอคิดถึงจนนอนไม่หลับ
แต่สายตาที่ยังจ้องมองมายังเขาอย่างถมึงทึง นอกจากความอดทนแล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น บนโลกใบนี้ หลายๆ ครั้ง ไม่ใช่ว่าคุณยอมแพ้แล้ว คนอื่นจะเมตตาต่อคุณ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้น ก็แค่ต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเอง
เขาพยายามปูทางให้ตนเองอย่างสุดความสามารถ ทำให้ตนเองมีความดีความชอบ ทุกครั้งที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาก็จะคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถทำให้เขาละทิ้งทุกอย่างบนโลกนี้ได้ เพื่อความสุขในบั้นปลายชีวิตของเธอ เขาจะต้องพยายามมีชีวิตต่อไป แล้วก็ต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อคนนั้นถูกตรวจสอบ ถึงแม่ว่าเขาจะโล่งอก แต่ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือมู่ซือแทบจะเสียสละชีวิตทำเพื่อเขา ดังนั้น เมื่อมู่ซือขอให้เขาเลี้ยงข้าว เขาจึงไม่ปฏิเสธ หลังจากผ่านมานาน เขาจึงรู้ว่า วันนั้น ซูหย่าเห็นฉากนี้ จึงเข้าใจผิด
หลังจากทานข้าวกับมู่ซื้อเสร็จแล้ว เขาก็ไม่รีรอที่จะไปตระกูลซู เอ่ยถึงความปรารถนาที่จะแต่งงานอีกครั้ง พ่อซูเข้าใจว่าสถานการณ์ของเขาเป็นอย่างไร จึงไม่ได้โต้แย้ง ตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้พบคนที่คิดถึงทุกวันทุกคืน ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะออกจากบ้าน แต่เมื่อเห็นหญิงสาวลงมาจากรถของผู้ชาย เขาก็สับสนอลหม่านเล็กน้อย