บทที่ 26 เจ้าทำได้ดีมาก
รับนี่ไปสินายน้อย ท่านชอบทั้งหมดที่ข้าซื้อมาไหม อย่างที่ข้าเคยบอกนั่นแหละว่าชื่อของข้านั้นย่อมาจากจงรักภักดี แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าก็ต้องเป็นคนแบบเดียวกับชื่อนั่นแหละ ต่อให้ตอนนี้เราจะตกต่ำ แต่เราก็ใช้ชีวิตเยี่ยงชนชั้นล่างไม่ได้หรอกนะท่าน เราต้องเชิดหน้าเข้าไว้ ของพวกนี้คือเสื้อผ้า 10 ชุดที่ข้าซื้อมาให้ท่าน ชุดพวกนี้น่ะเป็นชุดที่คุณภาพดีจากร้านชื่อดังทั้งนั้น อ๋อ…แล้วยังมีของอีกหลายอย่างรอท่านอยู่ในกระโจม หวังจงกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ
หลินเป่ยเฉินกล่าวถามด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจ อย่าบอกนะว่าเจ้าใช้ 20 เหรียญเงินที่ข้าให้ไปกับของพวกนี้จนหมดเลย ?
แน่นอนสิ หวังจงกล่าวตอบ ข้าคงจะรู้สึกแย่ถ้าไม่ได้ใช้เงินพวกนี้
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดไม่ออก
คุ้มค่างั้นหรือ ?
แต่ที่ข้าให้ไป มันคือทั้งหมดของเดือนหน้าเชียวนะ
เจ้ากลับใช้หมดในวันเดียวเนี่ยนะ
ทำไมเจ้าถึงได้ฟุ่มเฟือยแบบนี้
เอ๊ะ นายน้อย สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีเลย พ่อบ้านหวังกล่าว หรือนี่เป็นเพราะท่านทำผลการทดสอบวันนี้ไม่ดีงั้นหรือ ?
ไม่ใช่ หลินเป่ยเฉินตอบทั้งขบฟันแน่น
หรือมันเป็นเพราะ…ของที่ข้าซื้อมานั้นไม่หรูหรามากพอ ? พ่อบ้านหวังถาม
ไม่ใช่ ตาเฒ่า…เจ้า…ทำได้ดีมาก
หลินเป่ยเฉินเกือบจะโพล่งด่าออกมาเสียแล้ว แต่เขาก็นึกได้ว่าหลินเป่ยเฉินคนก่อนนั้นเป็นอย่างไร เพราะอย่างนั้น เขาเลยจำใจต้องยอมรับของทั้งหมดนี่ เพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์ความเป็นคนติดหรูอยู่สบายของตนเอง ในขณะที่ภายในใจได้แต่เก็บงำความโกรธและสาบานกับตนเองว่าจะไม่ให้เงินมากขนาดนี้แก่เจ้าพ่อบ้านชรานี่อีกแล้ว
แต่น่าแปลกนัก ตอนนี้ทั้งเขาและพ่อบ้านหวังนั้นต่างไม่มีที่ซุกหัวเป็นหลักเป็นแหล่งทั้งคู่ แล้วแบบนี้เจ้านี่ออกไปซื้อของนอกสถานศึกษากระบี่ได้ยังไงกันนะ ?
ไม่ใช่ว่าตาแก่ควรที่จะต้องโดยรุมยำจนตายไปแล้วงั้นหรือ ? ทั้ง ๆ มีผู้คนตั้งมากรอเฝ้าจัดการพวกเขาอยู่นอกสถานศึกษากระบี่แท้ ๆ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกแปลก ๆ
และเพียงชั่วครู่ เขาก็หัวเราะขึ้นมาและกล่าวว่า ฮะฮ่า ๆ ๆ ๆ พ่อบ้านหวัง…ท่านทำได้ดีมาก นี่มันคุ้มค่าจริง ๆ
และตอนนั้นเอง พ่อบ้านหวังก็ได้เปลี่ยนสถานะจาก ตาเฒ่าสารพัดพิษ กลายเป็น พ่อบ้านหวัง คนดีมีเมตตาธรรมขึ้นมาในทันใด
หลังจากหลินเป่ยเฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าที่แสนจะสะอาด นุ่ม และใส่สบายเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ได้ทานอาหารเย็นเป็นเค้กจากร้านชื่อดังที่สุดจากในเมือง ซึ่งมันก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับวิญญาณได้ถูกชำระล้างอีกครั้งหนึ่ง !
เป็นอย่างไร นายน้อย พ่อบ้านหวังกล่าวขณะที่หัวเราะร่วน ยังไงซะ ข้าก็รู้จักท่านดีที่สุด
ตกดึกคืนนั้น
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังใช้โทรศัพท์อยู่ในกระโจม
ในขณะนี้ โทรศัพท์มือถือเหลือแบตเตอรี่อยู่ 62%
แอปพลิเคชันเกี่ยวกับการฝึกวิทยายุทธ์ทั้ง 2 แอปกำลังทำงานอยู่ ในขณะที่อีก 3 แอปพลิเคชันด้านทฤษฎี เด็กหนุ่มปิดการทำงานไปแล้ว
นอกเหนือจากนั้น โทรศัพท์เครื่องนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
หลินเป่ยเฉินศึกษาโทรศัพท์ในมือต่ออีกพักหนึ่ง ก่อนจะเก็บมันเข้าไป
เขาพยายามจะใช้งานมันให้น้อยลงเพื่อประหยัดพลังงาน
กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตของเรา เกือบจะถึงระดับสูงสุดแล้ว
และจากการทดสอบวันนี้ ค่าพลังลมปราณในตัวเราน่าจะอยู่ราว ๆ ระดับ ที่ 6
การประลองในห้องเรียนวันนี้ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยแฮะ แต่อย่างน้อยก็ทำให้หายกลัวไปได้นิดหน่อย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้ายเราก็มีโอกาสชนะในการประลองระดับชั้นแน่นอน ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม
เราต้องเอาที่ 1 มาให้ได้
ไม่อย่างนั้น ไอ้หมาบ้าอู๋เสี่ยวฟางคงได้ตามรังควานไม่เลิกแน่ หลินเป่ยเฉินคิดวนไปวนมาในหัว
ต่อให้ผลการทดสอบวัดระดับค่าพลังของเขาจะเป็นโมฆะ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้กังวลเท่าไหร่นัก
เพราะพลังลมปราณที่อยู่ในตัวผู้ฝึกยุทธ์ เกิดจากการฝึกฝน และเป็นค่าที่ไม่สามารถปลอมแปลงได้
ไม่ว่าเขาจะทดสอบสักกี่รอบ ผลลัพธ์ก็คงออกมาเป็นแบบเดิม
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินเป่ยเฉินเป็นกังวลคือ จนถึงตอนนี้ โทรศัพท์นั้นก็ยังไม่ได้ให้คำใบ้อะไรกับเขาเลย และเขาก็ยังไม่สามารถหาวิธีการกลับไปยังโลกมนุษย์ได้
เด็กหนุ่มได้แต่บอกตัวเองว่าไม่ต้องรีบ
และก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะคิดอะไรออก เขาก็ผล็อยหลับไป
ส่วนพ่อบ้านหวังนั้นยอมยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกกระโจมที่พัก
ห่างออกมาจากกระโจมของเด็กหนุ่มในหมู่ไม้บริเวณนั้น อาจารย์อาวุโสติงซานฉือกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ชายชราพยายามตั้งใจฟังเสียงของหลินเป่ยเฉินที่นอนหลับใหลอยู่ในกระโจม ขณะที่ตนเองยังคงคิดอะไรไม่ออกอยู่เหมือนเดิม
ในวันนี้ เขาพบว่าหลังจากเจ้าแกะดำทานข้าวเย็นเสร็จ ก็ไม่ได้ฝึกซ้อมใด ๆ เลย
แล้วทักษะกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตของเขา กับค่าพลังลมปราณระดับ 6 นั้นมาจากไหนกันล่ะ
มันมีด้วยหรือ อัจฉริยะที่กล้าแกร่งได้จากการนอนเฉย ๆ น่ะ ?
…
วันรุ่งขึ้น การประลองดำเนินต่อไป
การประลองของห้อง 9 สิ้นสุดลงตั้งแต่เมื่อวานและพวกเขาได้คัดเลือกตัวแทนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ในห้อง 1 ห้อง 2 ห้อง 8 และห้องอื่น ๆ นั้น บรรดาลูกศิษย์อัจฉริยะต่างต่อสู้กันอย่างจริงจัง ทำให้พวกเขาต้องใช้เวลามากกว่าห้องอื่นในการคัดเลือกตัวแทน
จนถึงตอนเที่ยง ตัวแทนของชั้นปีที่ 2 ทั้ง 10 ห้อง ก็ได้ถูกคัดเลือกเป็นที่เรียบร้อย
ห้อง 1 คัดเลือกตัวแทนได้ทั้งสิ้น 15 คน ห้อง 2 คัดเลือกมาทั้งสิ้น 10 คน สำหรับห้อง 8 คัดเลือกมาได้ 10 คน ส่วนห้องที่เหลือได้มาประมาณห้องละ 5 ถึง 8 คน
ซึ่งจำนวนตัวแทนที่ผ่านการคัดเลือกจะขึ้นอยู่กับระดับความสามารถโดยเฉลี่ยของศิษย์ในแต่ละชั้น
ห้องเรียนที่มีค่าเฉลี่ยสูง ก็จะสามารถคัดเลือกผู้แทนได้จำนวนมากกว่า
ทั้ง 10 ห้องนั้นคัดเลือกตัวแทนมาได้ทั้งสิ้น 100 คน
โดยทั้ง 100 คนนี้จะมีหน้ามีตามากกว่าเพื่อนร่วมสถาบันคนอื่น ๆ
หลังพักเที่ยง การสอบวิชาสุดท้ายก็เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางเสียงเชียร์และความคาดหวังของคณะอาจารย์
ตัวแทนลูกศิษย์ทั้ง 100 คนนั้น จะถูกสุ่มโดยไม่เรียงตามลำดับห้อง
การสุ่มเลือกจัดขึ้นด้วยการใช้แผ่นไม้ลักษณะเหมือนไม้เซียมซีให้บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวได้หยิบเลือกตามความพอใจ และบนแผ่นไม้เล็ก ๆ นั้น ก็จะมีตัวเลขบอกว่าหมายเลขที่ได้มานั้น จะต้องไปประลองวิทยายุทธ์กับหมายเลขใดบ้าง
หลินเป่ยเฉินนั้นจับสลากได้หมายเลข 97 ส่วนคนที่ต้องมาต่อสู้กับเขาคือใครสักคนที่ได้หมายเลข 4
ทั้งลานประลองนั้นมีม่านพลังอยู่ด้วยกันสิบจุด ดังนั้น ในแต่ละรอบการประลองก็จะมีคู่ต่อสู้ 10 คู่
โดยรอบการแข่งขันแต่ละรอบ จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้คุมสอบ
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ประลองทันทีในรอบแรก
โดยปกติแล้วนั้น ในแต่ละรอบจะไม่มีลูกศิษย์อัจฉริยะได้ทำการประลองเกินรอบละ 2 คน
และด้วยวิธีการนี้ ลูกศิษย์อัจฉริยะคนอื่น ๆ จะได้ทำการสังเกตลักษณะการต่อสู้ของบรรดาลูกศิษย์อัจฉริยะด้วยกันเอง เพื่อที่จะได้วางกลยุทธ์ในการประลอง
อู๋เสี่ยวฟางนั้นได้ทำการประลองตั้งแต่รอบแรก
คู่ต่อสู้ของเขาคือเฉิงขู่ ซึ่งเป็นตัวแทนของลูกศิษย์ห้อง 9
พวกเขาก้าวเข้าไปในม่านพลัง
เฉิงขู่ยิ้มแหย ๆ แฝงไปด้วยแววเคร่งเครียด
เขาช่างโชคร้ายจริง ที่ดันได้มาเจอกับอู๋เสี่ยวฟางผู้เป็นที่ 1 ในการประลองปีที่แล้วตั้งแต่รอบแรก
เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีโอกาสชนะเลย
กฎกติกาในการประลองนั้นเข้มงวดมาก หากลูกศิษย์คนใดแพ้แม้แต่ตาเดียว จะต้องถูกคัดออกในทันทีโดยไม่มีโอกาสประลองกับผู้แพ้คนอื่น ๆ และเมื่อได้เจอคู่ต่อสู้เช่นอู๋เสี่ยวฟางแล้วนั้น เฉิงขู่ก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าตัวเขาต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ออมมือให้ข้าหน่อยแล้วกันนะ พี่อู๋ เฉิงขู่กล่าวพร้อมคารวะอู๋เสี่ยวฟาง
อู๋เสี่ยวฟางยิ้มก่อนจะพึมพำตอบ ออมมือให้เจ้างั้นหรือ ? คงเป็นไปไม่ได้หรอก
เฉิงขู่ตัวแข็งเป็นหิน
นี่เขามีปัญหาอะไรกับอู๋เสี่ยวฟางกันนะ
อู๋เสี่ยวฟางถึงดูไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่นัก
ทั้ง ๆ ที่เขานั้นไม่เคยไปยุ่มย่ามกับอู๋เสี่ยวฟางมาก่อนเลย
และแล้ว การประลองก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เฉิงขู่ชักกระบี่ออกมาตั้งกระบวนท่าแรกของวิชากระบี่สามพิฆาต
เขานั้นเป็นถึง 1 ใน 5 สุดยอดลูกศิษย์ของห้อง 9 ย่อมพอมีน้ำยาบ้างแหละน่า
แต่อู๋เสี่ยวฟางกลับแสยะยิ้มและไม่แม้แต่จะชักกระบี่ออกมาเสียด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่เดินตรงไปยังเบื้องหน้าเฉิงขู่ และก่อนที่ใครจะทันรู้ตัว กระบี่ของเขาก็ไปจ่ออยู่เทียบอกของเฉิงขู่เสียแล้ว
เฉิงขู่นั้นยืนสงบนิ่ง ก่อนจะตอบโต้กลับไปด้วยกระบวนท่าป้องกันหมื่นภูผาอันเป็นท่าพื้นฐานของมือกระบี่
นั่นเป็นการตอบโต้ที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว
แต่เมื่อได้ยินเสียงกระบี่กระทบกัน แรงปะทะมหาศาลก็พุ่งเข้ามา
ข้อมือของเฉิงขู่นั้นสั่นระรัวในขณะที่กระบี่ลอยออกจากมือของเขาไปในทันที