ณ ตำหนักไม้ไผ่
โทรศัพท์มือถือทำงานต่อเนื่อง
หลินเป่ยเฉินอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมาที่ห้องนอนเพียงลำพัง ปล่อยให้หญิงรับใช้ทั้งสองคนนั้นอยู่ในห้องอาบน้ำต่อไป เด็กหนุ่มเดินมาหยุดยืนที่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปด้านนอกอย่างใช้ความคิด
เมื่อก่อนเราเคยคิดเล่นๆ นะว่าถ้ามีโอกาสได้เกิดใหม่ก็คงจะดี แต่ใครมันจะไปคิดเลยว่า… หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นครวญครางอยู่ในใจอีกครั้ง ใครมันจะไปคิดเลยว่าเราจะได้รับโอกาสนั้นจริงๆ แถมยังต้องสงบจิตสงบใจ ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งยั่วยุต่างๆ หรือว่าตัวเราจะผิดปกติจริงๆ วะเนี่ย?
ระหว่างที่นอนแช่อ่างอาบน้ำ หลินเป่ยเฉินมีหญิงรับใช้ที่เหมือนกับมนุษย์ทุกประการคอยดูแล พวกนางเป็นภาพจำลองที่ฉายขึ้นมาจากแอปในโทรศัพท์มือถือ หลินเป่ยเฉินใช้วิธีควบคุมจิตใจตามคัมภีร์สุดยอด 36 วิธีวางแผนร้ายครองพิภพ และมันก็ช่วยทำให้เขาเลือดกำเดาไม่ไหล และสามารถสงบจิตใจ ไม่ทำอะไรลามกๆ ลงไปด้วย
แต่ทำไมเขาถึงต้องพยายามขนาดนี้?
หลินเป่ยเฉินสามารถตอบคำถามนี้ได้ว่า เพราะเขามาที่นี่ในฐานะหนุ่มซิงไงล่ะ
ในฐานะที่ทะลุมิติมายังโลกจอมยุทธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ เขามาสภาพไหน ก็อยากจะกลับไปสภาพนั้น และไม่อยากจะทิ้งอะไรไว้ที่โลกจอมยุทธ์แห่งนี้เด็ดขาด
หลังจากถอนหายใจออกมายาวแรง หลินเป่ยเฉินก็ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง
เขากระโดดกลับขึ้นไปนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง
ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่สามารถเผด็จศึกใครสักคนได้สำเร็จ โทรศัพท์มือถือวิเศษก็จะทำการอัปเกรดระบบและมีของรางวัลพิเศษมอบให้กับเขาโดยอัตโนมัติ
แต่ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินนอนเล่นโทรศัพท์อยู่จนดึกดื่น ก็ไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนว่าโทรศัพท์จะอัปเกรดแต่อย่างใด
สุดท้ายเด็กหนุ่มก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
การเดินทางในหุบเขาชายแดนเหนือยังคงหลอกหลอนจิตใจเด็กหนุ่มอยู่ไม่ใช่น้อย
ทุกอย่างยังชัดเจนอยู่ในหัวสมอง
ภาพทุกอย่างยังเด่นชัดราวกับเหตุการณ์ทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
แต่ถือเป็นโชคดีที่ได้รับคำชี้แนะจาก ‘ว่าที่พี่เขย’ อย่างหลิงฉือ จิตใจของหลินเป่ยเฉินจึงสามารถกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง และการนอนแช่อ่างน้ำอุ่นโดยที่มีหญิงรับใช้คอยนวดเฟ้นเป็นอย่างดี ก็ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
กว่าที่เด็กหนุ่มจะตื่นก็ล่วงเข้าบ่ายวันต่อมาแล้ว
เขานอนหลับจนรู้สึกตัวขึ้นมาเอง
หลังยืดตัวบิดขี้เกียจ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกสดชื่นเหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
พ่อบ้านหวังจงผู้คาดผ้ากันเปื้อนเปิดประตูเข้ามา พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า นายน้อยขอรับ อาหารเช้าเสร็จแล้วขอรับ ส่วนหญิงรับใช้ทั้ง 2 นางนั้นก็มารอคอยท่านอยู่ที่โรงเตี๊ยมแล้วขอรับ
หลินเป่ยเฉินทำเป็นคิดอยู่เล็กน้อย ก็ตอบกลับไปว่า บอกให้พวกนางกลับบ้านไปหามารดาของพวกนางเถอะ
พ่อบ้านหวังเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
นายน้อยของเขาสมแล้วที่เป็นคนเสเพลอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่ง
ไม่คิดเลยว่านายน้อยจะมีกฎเกณฑ์การคัดเลือกหญิงรับใช้สูงขึ้นไปอีกระดับแล้ว
นายน้อยจะส่งพวกนางกลับไปหรือขอรับ? หวังจงพยายามโน้มน้าวให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนใจ แต่พวกนางถูกคัดเลือกมาให้นายน้อยโดยเฉพาะเลยนะขอรับ ซ้ำพวกนางยังบริสุทธิ์ ได้รับการฝึกสอนเรื่องการดูแลเอาใจใส่นายน้อยมาเป็นอย่างดี และเพื่อการนั้น เราถึงกับต้องเสียค่าตัวให้แก่พวกนางไปมากโขเลยนะขอรับ…
ว่าไงนะ? พวกนางมีค่าตัวด้วยหรือ?
หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางตัวเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขารีบเดินออกมาจากห้องนอนในที่สุด
เอ่อ…
พ่อบ้านหวังเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาชอบกล
ตอนที่นายน้อยสั่งให้เขาจับปลาในบ่อไปขายให้หมด นายน้อยก็มีสีหน้าเช่นนี้เหมือนกัน
พ่อบ้านชราพยายามสอบถามต่อไปว่า นายน้อยอยากจะขายพวกนางแลกเงินหรือขอรับ?
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างและพูดว่า บิดามารดาเป็นผู้ให้กำเนิดข้าก็จริง แต่ผู้ที่รู้ใจข้าที่สุดในโลกนี้ คงมีแต่ลุงหวังเท่านั้น
หวังจงรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองมีพลังจิต เพราะทุกคำพูดที่นายน้อยกล่าวออกมา เขาคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าทั้งหมดแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่อยากจะรับตัวหญิงรับใช้ทั้งสองคนนั้นมาเป็นภาระการดูแลของเขาอีก ต่อให้พวกนางกินไม่จุ แต่อย่างน้อยก็มีสองปากเพิ่มขึ้นมาให้คอยเลี้ยงดู นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายของเขาก็จะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น กำจัดพวกนางทิ้งไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ จึงเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
พ่อบ้านหวังพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า แต่นายน้อยขอรับ ต่อให้ลดราคาอย่างไร เราก็คงขายพวกนางไม่ออกหรอกขอรับ
ทำไมเล่า?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
พ่อบ้านหวังลังเลอยู่นาน ก่อนพูดออกมาในที่สุด เพราะว่า…เพราะว่าพวกนาง…ถูกประกาศว่าเป็นหญิงรับใช้ของนายน้อยเรียบร้อยแล้วขอรับ หากคนอื่นปฏิเสธพวกนางน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้านายน้อยเป็นคนปฏิเสธ…พวกนางก็ย่ำแย่แล้ว เพราะทุกคนในเมืองนี้รู้ดีว่านายน้อยบ้ากามขนาดไหน การที่นายน้อยปฏิเสธพวกนาง ก็เท่ากับว่าพวกนางมีข้อบกพร่องร้ายแรงที่แม้แต่คนบ้ากามอย่างนายน้อยก็ยังปฏิเสธได้ลงคอ…
หลินเป่ยเฉินได้รับฟังเหตุผลดังนั้นก็เข้าใจในทันที
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าตนเองเป็นใคร
หลินเป่ยเฉินเป็นถึงคนเสเพลอันดับหนึ่งประจำเมืองเชียวนะ
ในสายตาของคนอื่นๆ ชีวิตของเขาไม่เคยมีอะไรมากไปกว่าสุราและนารี
นับดูสตรีในเมืองนี้ มีมากมายที่ถูกหลินเป่ยเฉินคนเดิมลวนลามไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แล้วเพราะเหตุใดกัน เมื่อมีหญิงรับใช้หน้าตางดงามถูกส่งตัวมาถึงที่เช่นนี้ เขาถึงปฏิเสธ?
จากความทรงจำของหลินเป่ยเฉินคนเก่า มันทำให้หลินเป่ยเฉินคนใหม่ได้รับทราบว่า ยามที่มีหญิงงามตกมาอยู่ในมือของเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเป่ยเฉิน เขาจะตะครุบพวกนางรวดเร็วยิ่งกว่าสัตว์นักล่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะปล่อยให้หญิงงามหลุดมือไปเด็ดขาด
ดังนั้น การปฏิเสธหญิงรับใช้ในครั้งนี้ จึงดูผิดสังเกตเป็นอย่างยิ่ง
สุดท้าย เด็กหนุ่มก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะส่งตัวหญิงรับใช้กลับไป
หลังจากนั้น
หลินเป่ยเฉินต้องจำใจเดินทางไปที่โรงเตี๊ยม หญิงรับใช้ทั้งสองคนนั้นมีช่วงขาเรียวยาว เอวคอดกิ่ว ร่างกายผอมเพรียวเหมือนคนไม่ค่อยรับประทานอาหาร เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็สั่งให้หวังจงเช่ารถม้าไปรอเขาที่หน้าประตูสถานศึกษา เพื่อเตรียมเดินทางไปยังวิหารเทพกระบี่ในตัวเมือง
เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินไปถึงหน้าประตูสถาบัน ก็พบว่าเยว่หงเซียงมายืนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งสองคนนัดแนะกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าวันนี้จะเดินทางไปเยี่ยมฮันปู้ฟู่ ฉู่เหินและพานเว่ยหมิน ซึ่งเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่วิหารเทพกระบี่
เยว่หงเซียงสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ลักษณะยังงดงามอ่อนช้อยเหมือนเคย
นางสวมใส่หมวกปีกกว้างขนาดใหญ่ มีผ้าคลุมลายลูกไม้ห้อยลงมาจากปีกหมวก ช่วยปิดบังใบหน้าของนางได้มิดชิด เมื่อประกอบกับชุดเสื้อคลุมมือกระบี่รุ่นเยาว์ที่นางสวมใส่ เด็กสาวจึงดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถม้ากันเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็ถามด้วยความระมัดระวังว่า หมวกใบนี้เจ้าทำเองหรือ? ช่างงดงามเหลือเกิน
เยว่หงเซียงยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า มารดาของข้าเป็นคนทำให้เจ้าค่ะ
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามออกไป จริงด้วยสิ น้องชายของเจ้าเดินทางกลับบ้านปลอดภัยดีหรือไม่?
เยว่หงเซียงตอบว่า หงเสว่กลับถึงบ้านปลอดภัยดีเมื่อสามวันก่อนเจ้าค่ะ ไอรีนโนเวล
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนว่าเจาอู๋หยางจะรักษาคำพูดเป็นอย่างดี ไม่ได้มารบกวนพวกของเยว่หงเสว่อีกต่อไป
เด็กชายเป็นคนฉลาดมาก
เยว่หงเซียงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น นางไม่ระแคะระคายเลยสักนิดว่าน้องชายตนเองเข้าร่วมกับสำนักวายุสะเทือนฟ้า และหลินเป่ยเฉินก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา
อะไรที่ผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไปเถิด
วันนี้ หากไปถึงวิหารเทพกระบี่เมื่อไหร่ หลินเป่ยเฉินตั้งใจว่าจะเข้าไปสอบถามนักพรตหญิงชิน ว่าพอมีวิธีใดจะสามารถรักษาบาดแผลบนใบหน้าเยว่หงเซียงได้บ้างหรือไม่
2 เค่อต่อมา
รถม้าก็วิ่งมาหยุดลงที่ด้านนอกวิหาร
หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงยังไม่รีบร้อนเดินเข้าไป
ทุกอย่างยังเหมือนครั้งสุดท้ายที่หลินเป่ยเฉินได้มีโอกาสเดินทางมาที่นี่ บริเวณลานจัตุรัสด้านนอกวิหารเต็มไปด้วยกลุ่มผู้ศรัทธากำลังสวดภาวนาขอพรจากเทพกระบี่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขาม
อ้าว ท่านเองหรือ?
เสียงที่สดใสเสียงหนึ่งดังขึ้น
หลินเป่ยเฉินหันไปมองทางต้นเสียง
แล้วเขาก็ได้เห็นนักบวชหญิงนางหนึ่งซึ่งน่าจะมีอายุไม่เกิน 16 ปี ดวงตาสดใส ฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบ หน้าตามีชีวิตชีวา นางกำลังเบิกตาโตจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ
ข้าจำท่านได้ ครั้งสุดท้ายที่ท่านมาที่นี่ ท่านสามารถเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้สำเร็จ นักบวชหญิงมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกาย และพูดต่อไปอย่างกระตือรือร้น ว่าแต่ท่านมาทำอะไรที่นี่อีกล่ะ? มีอะไรให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่? ต้องขอแนะนำตัวก่อนว่าข้ามีนามเยว่เว่ยหยาง เป็นผู้รับหน้าที่ดูแลวิหารประจำวันนี้
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยว่หงเซียงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังผ้าลายลูกไม้ใต้หมวกปีกกว้างทันที
นี่คือความสามารถพิเศษของศิษย์พี่หลิน
เขามักจะตกเป็นจุดสนใจของเพศตรงข้ามเสมอ
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มตอบรับกลับไปเป็นอย่างดี
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มมีความอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ยามบ่าย เมื่อประกอบกับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา มันก็ให้ความอบอุ่นเหมือนแสงแดดแห่งฤดูร้อน ไม่ว่าผู้ใดมองหน้าหลินเป่ยเฉิน ก็ต้องเกิดความลุ่มหลงขึ้นมาแล้ว
ข้าพเจ้าตั้งใจมาเยี่ยมอาจารย์ฉู่
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ
อ๋อ ข้ารู้แล้ว ท่านมาจากสถานศึกษากระบี่ที่สามใช่ไหม? เยว่เว่ยหยางยิ้มแย้มอ่อนหวาน พูดว่า ตามข้ามาสิ
แล้วนางก็เดินนำทางพวกของหลินเป่ยเฉินทั้งสองคน เข้าไปในห้องโถงของวิหารเทพกระบี่
กฎประจำวิหารของเราก็คือ ถ้าท่านอยากจะเข้าเยี่ยมผู้บาดเจ็บ ก่อนอื่นก็ต้องนำของมาสักการะบูชารูปปั้นท่านเทพเจ้าเสียก่อน เพราะมันจะทำให้บาดแผลของผู้บาดเจ็บ สามารถหายดีได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
เยว่เว่ยหยางอธิบายอย่างคล่องแคล่ว
อะไรกันเนี่ย?
มาเยี่ยมคนเจ็บ ยังต้องมีของมาสักการะอีกหรือ?
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าตกตะลึงไม่น้อย
แต่แล้วเขาก็เห็นว่าเยว่หงเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง พลันคุกเข่าลงไปเบื้องหน้ารูปปั้นขนาดมาตรฐานรูปหนึ่ง นางนำเหรียญเงิน 20 เหรียญวางไว้บนถาดสักการะ จากนั้นจึงยกมือขึ้นประนมแนบอก และเริ่มต้นสวดภาวนาขอพรให้ผู้บาดเจ็บหายดี
เอาวะ ไหลตามน้ำไปก่อนแล้วกัน
หลินเป่ยเฉินแกล้งทำเป็นรู้กระบวนการขั้นตอนทุกอย่าง เขาคุกเข่าลงไปอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่
คุณชายหลิน ไม่ได้นำของสักการะติดตัวมาด้วยหรือ? เยว่เว่ยหยางส่งเสียงถามด้วยความประหลาดใจ ถ้ามีของสักการะติดมือมาด้วย มันจะทำให้อาการของผู้บาดเจ็บดีขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าเลยนะ
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งให้โทรศัพท์มือถือค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งของสักการะ ว่าขณะนี้เขามีสิ่งใดติดตัวอยู่บ้างหรือไม่ เมื่อเสี่ยวจี้ให้คำตอบกลับมา หลินเป่ยเฉินก็อดใจหายไม่ได้ แต่ก็สั่งให้ดาวน์โหลดของสิ่งนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว
นั่นก็คือก้อนหินสีดำที่เขาได้มาจากยอดเขาสุสานอินทรีนั่นเอง
หินก้อนนี้เด็กหนุ่มพบเจออยู่ในซากศพชายชรา ผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ของสมาคมนักล่าอสูร
ครั้งก่อนอาจารย์ฉู่พาเรามาที่นี่ ก็เอาก้อนหินลักษณะแบบนี้แหละเป็นของสักการะ สุดท้ายเราก็สามารถเปิดจุดกำเนิดพลังปราณธาตุได้สำเร็จ งั้นหมายความว่าหินก้อนนี้ก็น่าจะทำให้บาดแผลของพวกอาจารย์หายดีได้เหมือนกัน หลังจากชั่งใจอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจได้แล้ว
มีบุญคุณต้องทดแทน
นี่คือหลักการในชีวิตของเขา
ต่อให้หินก้อนนี้จะมีมูลค่ามากมายมหาศาล แต่ความช่วยเหลือที่อาจารย์ฉู่มอบให้หลินเป่ยเฉินตลอดมา มันวัดค่าเป็นจำนวนเงินไม่ได้เลย
เมื่อนำหินสีดำวางลงไปบนถาดสักการะเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็สำรวมจิตใจและเริ่มต้นขอพร
หลังจากนั้นเพียงพริบตาเดียว…
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือทันที
มันเป็นการแจ้งเตือนจากแอปวีแชท
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง
ในเมื่อเทพีกระบี่หิมะไร้นามบล็อกเขาไปแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ไม่เหลือเพื่อนอยู่ในวีแชทอีกต่อไป แล้วมันจะมีการแจ้งเตือนใหม่ได้อย่างไร?
เด็กหนุ่มรีบเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นดูทันที
หน้าจอสามมิติที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า แจ้งเตือนว่ามีคนส่งคำขอเป็นเพื่อนครั้งใหม่มาให้เขาในแอปวีแชท
หลินเป่ยเฉินกดเข้าไปดูไม่รอรี
แล้วก็พูดไม่ออกในทันใด
เพราะคนที่ส่งคำขอเป็นเพื่อนมาในครั้งนี้ ก็คือ ‘เทพีกระบี่หิมะไร้นาม’ คนเดิม