นี่คือเหรียญตราพลเรือนระดับ 3 ดาว ผ่านการรับรองโดยจวนผู้ว่า กระทรวงศึกษาและกองทัพนักรบเมฆา เฉินเจี้ยนหนานนำเหรียญตราที่มีลักษณะเหมือนเข็มกลัด มีรูปกระบี่ไขว้กันบนพื้นหลังสีดำยื่นส่งให้เด็กหนุ่มชิ้นหนึ่ง
ของสิ่งนี้…เอาไปขายต่อได้ไหมขอรับ?
หลินเป่ยเฉินถามตะกุกตะกัก
เฉินเจี้ยนหนานเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนหน้าเงินขนาดไหน จึงตอบว่า เอาไปขายต่อไม่ได้ มันเป็นเพียงเหรียญรางวัลสำหรับผู้สร้างเกียรติยศยิ่งใหญ่เท่านั้น
ถ้าอย่างนั้น… หลินเป่ยเฉินทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่อึดใจใหญ่ก่อนจะถามต่อ หากข้านำเหรียญตรานี้ไปขายพร้อมกับเกียรติยศเหล่านั้น จะมีใครรับซื้อไหมขอรับ?
เฉินเจี้ยนหนานพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หลังจากพยายามหาคำตอบที่ฟังดูถนอมน้ำใจมากที่สุด เฉินเจี้ยนหนานก็กล่าวออกมาว่า เหรียญตราพลเรือนระดับ 3 ดาวเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ เมื่อเจ้าพกเหรียญตรานี้ติดตัวเอาไว้ ในอนาคตไม่ว่าเจ้าจะทำกิจการใดๆ ไม่ว่าจะเข้าร่วมกองทัพ สอบเข้าเป็นขุนนาง หรือผันตัวไปเป็นพ่อค้าวาณิช มันก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าได้ในทุกทาง และนั่นก็หมายความว่าความสำเร็จอยู่ในมือของเจ้าแล้ว
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย สรุปก็คือเข็มกลัดชิ้นนี้ไม่มีผู้ใดรับซื้อสินะขอรับ
เฉินเจี้ยนหนานพยักหน้า ถูกต้องแล้ว
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมายาวแรง ก่อนที่จะเก็บเข็มกลัดใส่กระเป๋าในอกเสื้อ
อีกไม่นานเดี๋ยวเขาก็ต้องกลับโลกมนุษย์อยู่แล้ว
ไม่มีทางที่เขาจะกลายเป็นพ่อค้าวาณิช หรือขุนน๊างขุนนางในตัวเมือง และก็แน่นอนว่าการเข้าร่วมกองทัพก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
เข็มกลัดชิ้นนี้ไม่มีประโยชน์กับเขาเลยสักนิดเดียว
ว่าแต่ไม่มีอะไรอีกแล้วหรือขอรับ? หลินเป่ยเฉินพลันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ข้าสังหารโจรได้มากมายขนาดนั้น ทางการไม่มีเงินรางวัลมอบให้บ้างหรือ?
เฉินเจี้ยนหนานตอบว่า ไม่มี
ไม่มีจริงๆ หรือขอรับ?
ไม่มีจริงๆ
สักเหรียญทองแดงเดียวก็ไม่มี?
ไม่มี
คำตอบที่ได้รับทำให้หลินเป่ยเฉินกลับมารู้สึกเกลียดชังจักรวรรดิเป่ยไห่อีกครั้ง
เฉินเจี้ยนหนานอธิบายต่อว่า สมาคมนักล่าอสูรไม่เคยเข้ามาอาละวาดในตัวเมืองมาก่อน เพราะฉะนั้น พวกเราจึงไม่เคยตั้งค่าหัวของพวกมัน อีกอย่าง การกวาดล้างสมาคมนักล่าอสูรได้สำเร็จคือเรื่องราวที่จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงในวงกว้าง เราไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณชนได้เด็ดขาด ขณะนี้จึงมีคนรู้เรื่องที่เจ้าทำความดีความชอบไว้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือ ข้าจะไม่ได้รับทั้งชื่อเสียงและเงินทองใช่ไหมขอรับ?
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด
เฉินเจี้ยนหนานพยักหน้า
แต่เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มอัจฉริยะผู้อยู่เบื้องหน้ามีท่าทางกระฟัดกระเฟียด เฉินเจี้ยนหนานจึงกล่าวต่ออีกครั้ง เจ้าสามารถกวาดล้างกลุ่มกองโจรได้สำเร็จ แต่กลับไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทน อาจฟังดูประหลาดไปสักหน่อย แต่ตอนนี้จักรวรรดิของเราอยู่ในสภาวะฝืดเคือง หวังว่าเจ้าคงเข้าใจ
เข้าใจกับผีน่ะสิ
หลินเป่ยเฉินคำรามอยู่ในใจ
ว่าแต่เจ้าเถอะ หลังจากนี้คงต้องระมัดระวังตัวหน่อย สมาคมนักล่าอสูรประจำแดนเหนือมีหูตาอยู่มากมาย บัดนี้พวกมันอาจกำลังจับตามองเจ้าอยู่ก็เป็นได้
เฉินเจี้ยนหนานเตือนด้วยความหวังดี
พูดจบแล้ว นายทหารใหญ่ก็หมุนตัวเดินจากไป
หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายเขาก็หันหน้ากลับมาหาไป๋ชินหยุน
เด็กสาวยกมือกอดอกยิ้มแฉ่งให้หลินเป่ยเฉิน
ตาต่อตาประสานกัน
หลินเป่ยเฉินแสร้งยิ้มออกมาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์
ศิษย์น้องไป๋ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเวลาฝึกกระบี่กับเจ้าแล้วข้ามีความสุขขนาดไหน หลังจากนี้ไป เรามาฝึกกระบี่ด้วยกันทุกวันเถอะ
ศิษย์พี่หลิน ไหนท่านบอกว่าไม่จำเป็นต้องฝึกกระบี่กับข้าอีกแล้วไม่ใช่หรือ?
ข้าจะไปพูดแบบนั้นได้อย่างไร
จริงนะ?
จริงสิ
ตกลง งั้นพวกเราไปที่ลานประลองกัน
ไป๋ชินหยุนเดินพลางกระโดดดึ๋งๆ นำทางไปอย่างมีความสุข
หลินเป่ยเฉินเดินคอตกตามหลังไปด้วยความเศร้าสลด
นับเป็นภาพที่แปลกตาเป็นอย่างยิ่ง
ในไม่ช้า ทั้งสองคนก็เดินมาถึงสนามหญ้าแห่งหนึ่ง
ยังไม่ทันจะมีการฝึกฝนเกิดขึ้น รอบพื้นที่ซึ่งถูกแยกไว้เป็นลานประลองกลับมีผู้คนรวมตัวกันอยู่หนาแน่น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลูกศิษย์ประจำชั้นปีที่ 2 และปีที่ 3 หลายคนกำลังยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก หลายคนก็ส่งเสียงตะโกนโวยวาย หลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนไม่ทราบเลยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
มีคนทะเลาะกันหรือ?
การที่ลูกศิษย์ร่วมสถาบันจะมาต่อสู้กันที่ลานประลองไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
แต่ไม่เคยมีกลุ่มคนดูมากมายขนาดนี้มาก่อน
หลินเป่ยเฉินไม่ได้คิดจะสนใจ
เขาเดินไปหยิบอาวุธที่อยู่บนชั้นวางข้างลานประลอง เมื่อมีกระบี่อยู่ในมือแล้วถึงได้หันหน้ากลับมา
ผลั่ก!
พลัน เงาร่างของคนผู้หนึ่งลอยกระเด็นออกมาจากกลุ่มคนดู ตกกระแทกพื้น ไถลมาหยุดอยู่ตรงปลายเท้าหลินเป่ยเฉิน
เจ้ารังแกผู้คนมากเกินไปแล้ว…
ผู้ที่ลอยกระเด็นออกมาเป็นลูกศิษย์ห้อง 8 ประจำชั้นปีที่ 2 เขามีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก พยายามยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากพร้อมกับกล่าวว่า เจ้าอิจฉาที่พี่เยว่สามารถเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายได้สำเร็จ ก็เลยเจตนาจะทำให้นางอับอาย…
ฮ่าฮ่า พวกข้าก็แค่เปิดหมวกของนางออกดูเท่านั้น มันจะเป็นปัญหาอะไรนักหนา? ลูกศิษย์จากชั้นปีที่ 3 คนหนึ่งหัวเราะในลำคอ อีกอย่าง พี่กวนไม่รู้สักหน่อยว่านางนั้นได้เสียโฉมไปแล้ว
นั่นมัน…
น่ากลัวชะมัด
โห คนอะไรเหมือนมีตะขาบพาดอยู่บนหน้าตลอดเวลา…
น่าเกลียดน่ากลัวเกินไปแล้ว
ถ้ารู้ว่าใบหน้านางจะอัปลักษณ์ขนาดนี้ พวกข้าจะต้องเปิดหมวกของนางออกทำไม
บรรดาลูกศิษย์จากชั้นปีที่ 3 พากันหัวเราะเหยียดหยามอย่างสนุกสนาน
ไป๋ชินหยุนได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที
แต่นางก็เห็นว่าสีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
แน่นอนว่าก่อนที่ไป๋ชินหยุนจะทันได้พูดอะไร นางก็เห็นพลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายของเขาเป็นสีสันสดใส ก่อนที่ตัวของเด็กหนุ่มจะกระโดดเข้าไปในใจกลางกลุ่มคน
ในวงล้อมของกลุ่มคนเหล่านั้น
เยว่หงเซียงกำลังก้มลงเก็บหมวกปีกกว้างที่หล่นอยู่บนพื้นดิน
นางสะบัดหมวกไล่เศษดินเศษทรายออกจากผ้าลูกไม้สีดำที่เย็บติดอยู่กับปีกหมวก ระหว่างนั้นก็จ้องมองกวนเฟยตู้ด้วยสีหน้าเย็นชาและกล่าวว่า ศิษย์พี่กวน พอจะมีเวลาแนะนำข้าน้อยสักหลายกระบวนท่าหรือไม่?
กวนเฟยตู้ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความตกตะลึง…
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเยว่หงเซียงกลายเป็นยัยหน้าผีไปแล้ว
เด็กหนุ่มเพียงขุ่นเคืองที่นางสามารถผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายได้ด้วยการช่วยเหลือของหลินเป่ยเฉิน แล้วยิ่งในระยะหลังเห็นเยว่หงเซียงสวมหมวกปีกกว้าง หลบหน้าหลบตาผู้คนอยู่เบื้องหลังผ้าลูกไม้สีดำนั้นตลอดเวลา เขาจึงเจตนาเปิดหมวกของนางออก เพื่อที่จะก่อกวนให้เสียอารมณ์เท่านั้นเอง
นี่ควรจะเป็นแค่เรื่องตลกขำขัน
แต่บัดนี้มันไม่ใช่เรื่องตลกอีกแล้ว
เยว่หงเซียงเคยมีใบหน้าสะสวย ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสาวงามที่สุดของสถาบัน ทว่า เมื่อมีรอยแผลเป็นเหมือนตะขาบสองตัวไขว้กันอยู่บนข้างแก้มซ้าย ความงดงามทั้งหมดที่เคยมี ก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความอัปลักษณ์โดยทันที
ข้าไม่รู้…เจ้าจะมาโทษข้าไม่ได้ ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าก่อนล่ะ? กวนเฟยตู้พูดเสียงแข็ง
ลูกสมุนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาส่งเสียงสอดขึ้นมาว่า โดนเช่นนี้เจ้าก็สมควรแล้ว ความสามารถไม่มี อาศัยเพียงเกาะหลินเป่ยเฉินเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายได้อย่างหน้าไม่อาย…เฮอะ มีใครรู้บ้างว่าระหว่างที่อยู่ในค่ายพัก เจ้าไม่ได้แอบปีนขึ้นเตียงหลินเป่ยเฉินยามราตรี…
เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือกระทบกับศีรษะผู้คนพลันดังสนั่นหวั่นไหว
ลูกสมุนของกวนเฟยตู้รู้สึกเหมือนมีค้อนทุบลงมาที่ศีรษะของเขา ร่างกายหมุนคว้างก่อนที่จะลอยกระเด็นออกไป…
แล้วเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เดินแหวกผู้คนเข้ามายืนอยู่เคียงข้างเยว่หงเซียง
ที่แท้ก็คือหลินเป่ยเฉิน
เจ้าพวกปากไม่มีหูรูด วันนี้พวกเจ้าไม่ตายดีแน่
เขาคำรามเหมือนราชสีห์โกรธา
เมื่อกวนเฟยตู้เห็นว่าเป็นผู้ใดเดินออกมา ก็ถึงกับต้องผงะถอยหลังไปหลายก้าว พูดตะกุกตะกักออกมาว่า หลินเป่ยเฉิน เจ้า…
แย่แล้วพวกเรา พี่ซงอาการไม่ค่อยสู้ดีแล้ว…
ลูกศิษย์ร่วมชั้นปีที่สามซึ่งยืนอยู่แถวนั้น ส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ซงโหยวคือชื่อของลูกสมุนกวนเฟยตู้ที่โดนหลินเป่ยเฉินตบกระเด็นไปหน้าฟาดพื้น บัดนี้ ใบหน้าของเขาบวมช้ำ มีเลือดไหลทะลักออกมาจากปาก แขนขากระตุก หมดสติไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีกแล้ว…
ลักษณะคงบาดเจ็บสาหัสไม่ใช่น้อย
กะโหลกศีรษะน่าจะแตก
พลัน สีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไป
ก่อเหตุสังหารเพื่อนร่วมสถาบันอย่างนั้นหรือ?
ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
หลินเป่ยเฉิน เจ้าทำร้ายศิษย์ร่วมสถาบันถึงแก่ชีวิต เจ้า… กวนเฟยตู้คำรามออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น เจ้าช่างอำมหิตนัก
เจ้าเป็นห่วงตัวเองก่อนดีกว่า แววตาของหลินเป่ยเฉินที่จ้องมองกวนเฟยตู้คมกริบยิ่งกว่าคมกระบี่ เจ้าเปิดหมวกของเยว่หงเซียงทำไม?
ขะ…ขะ…ข้า…
กวนเฟยตู้รู้สึกได้ถึงพลังกดดันหนักหน่วงที่แผ่เข้ามากระทบร่างกาย หลังจากนั้นก็บังเกิดความรู้สึกเย็นวาบคล้ายกับมีกระบี่มาพาดอยู่ที่ลำคอ ก่อให้เกิดความรู้สึกน่าหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก
ขอโทษนางเดี๋ยวนี้
หลินเป่ยเฉินพูดเน้นทีละคำ
ขะ…ข้าไม่ได้ตั้งใจ กวนเฟยตู้กัดฟันกรอด