แล้วเจ้าจะทำได้อย่างไร?
เหลียวหวังซูพูดพร้อมกับโบกมือสะบัด
แล้วกาน้ำร้อนที่ตั้งอยู่บนเตาไฟก็ลอยขึ้นในอากาศ มันเอียงเล็กน้อยเทน้ำที่อยู่ด้านในใส่ลงมาในจอกน้ำชา 2 ถ้วยที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
ใบชาขนาดเท่าเม็ดข้าวสองใบที่วางอยู่ก้นถ้วยละลายภายใต้อุณหภูมิน้ำเดือด แล้วจอกน้ำชาทั้ง 2 ถ้วยนั้นก็พลันปรากฏน้ำสีอำพันชวนดื่มเต็มจอก
ถึงกับชงน้ำชาอันตรธานเชียวหรือ? ท่านผู้เฒ่าออกจะระมัดระวังตัวเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
หยิงอู๋จีมองน้ำสีอำพันในจอกน้ำชาด้วยความประหลาดใจ ก่อนตอบคำถามในที่สุดว่า ท่านต้องไม่ลืมนี่ไม่ใช่การสังหารคนครั้งแรกของข้า อย่างน้อยข้าก็มีกว่าร้อยวิธีที่สามารถสังหารหลินเป่ยเฉินได้ในค่ำคืนนี้
เหลียวหวังซูไม่แสดงความคิดเห็น
เมื่อเขายกมือดีดนิ้ว กาน้ำร้อนก็ลอยลงมาตั้งอยู่บนโต๊ะ
แล้วหนึ่งในจอกน้ำชาก็พลันลอยขึ้นไปในอากาศและลอยไปอยู่เบื้องหน้าหยิงอู๋จี
แล้วอย่างไรต่อ?
ชายชราถาม
หยิงอู๋จีรับถ้วยน้ำชาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อเราสังหารหลินเป่ยเฉินสำเร็จแล้ว เราก็ใส่ความให้เป็นความผิดของคนใหญ่คนโตสักคน จากนั้นก็จัดการกวนน้ำให้ขุ่น ปั่นป่วนสถานการณ์ภายในเมืองให้วุ่นวาย ท่านผู้เฒ่าย่อมรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดที่ข้าจะถนัดมากไปกว่านี้อีกแล้ว
เหลียวหวังซูยกถ้วยน้ำชาของตนเองขึ้นมาจิบบ้าง แต่แล้วเขาก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ น้ำของเมืองหยุนเมิ่งเห็นทีคงเป็นน้ำที่สะอาดที่สุดในโลก คิดไม่ถึงเลยว่าในค่ายพักแรมรกร้างเช่นนี้ คุณภาพน้ำยังไม่ถือว่าย่ำแย่เกินไป
ท่านเลิกถ่วงเวลาด้วยการพูดจาอ้อมค้อมได้แล้ว หยิงอู๋จีพลันพูดออกมาด้วยความร้อนใจ ท่านไม่คิดว่าหลินเป่ยเฉินสมควรตายหรือ?
เหลียวหวังซูดื่มน้ำชาจนหมดจอกและกล่าวตอบอย่างแช่มช้า ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น… หลินเป่ยเฉินเป็นเด็กมีความสามารถ แต่เมื่อปฏิเสธไม่ยอมให้ความร่วมมือกับพวกเรา เพราะฉะนั้นตายจึงมีค่ามากกว่าอยู่… แต่เจ้ากำลังทำความผิดพลาดครั้งใหญ่
เรื่องอะไร?
หยิงอู๋จีขมวดคิ้วด้วยความฉงน
เหลียวหวังซูพูดเน้นย้ำทีละคำว่า เจ้าไม่ควรประมาทคู่ต่อสู้มากเกินไป
เฮ้อ ท่านพูดเช่นนี้อีกแล้ว
หยิงอู๋จียิ้มแย้มด้วยความมั่นใจและกล่าวว่า ข้าไม่ได้ประมาทคู่ต่อสู้ ท่านก็รู้ว่าข้าทำงานนี้มานานมากแค่ไหน หลิงไท่ซวีปัจจุบันเป็นเพียงชายชราที่สนิมเกาะกินกระดูกนักรบ ต่อให้เคยเป็นพญามังกรครอบครองผืนฟ้า แต่เขาก็ไม่เหลือฝีไม้ลายมืออะไรให้น่ากลัวอีกแล้ว ชื่อเสียงของเขาเป็นแค่อดีตที่ผ่านเลยไปไม่มีทางหวนคืน ต่อให้ไม่มีพวกเราคอยปั่นป่วนสถานการณ์ หลิงไท่ซวีก็มีสภาพเหมือนเป็นคนวิกลจริตคนหนึ่งอยู่แล้ว และถ้าเกิดการฆาตกรรมหลินเป่ยเฉินขึ้นมา เขาก็คงจะต้องตามหาฆาตกรอย่างบ้าคลั่งแน่นอน…
เหลียวหวังซูถามด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า แล้วเจ้าไม่คิดหรือว่าเขาอาจสงสัยพวกเราก็เป็นได้?
หยิงอู๋จีตอบเสียงเรียบ เขาต้องไม่สงสัยแน่นอน
เพราะอะไร?
เหลียวหวังซูถามกลับไป
ยังจะต้องให้พูดอีกหรือ?
หยิงอู๋จียกน้ำชากระดกดื่มจนหมดจอก ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความปลอดโปร่งใจระหว่างที่วางจอกอันว่างเปล่ากลับคืนลงบนโต๊ะ ทุกคนล้วนทราบดีว่าพวกเราเป็นอดีตผู้ติดตามผู้ซื่อสัตย์ของหลินจิ้นหนาน ย่อมไม่มีทางคิดร้ายต่อบุตรชายของเขาเด็ดขาด มิหนำซ้ำ การปรากฏตัวของพวกเราอาจทำให้หลิงไท่ซวีกดดันมากกว่าเดิมอีกด้วย
เหลียวหวังซูขมวดคิ้วหน้ายุ่ง เดี๋ยวก่อนนะ? นี่เจ้าคิดว่าหลินจิ้นหนานเสียชีวิตแล้วจริงๆ หรือ?
หยิงอู๋จีได้ยินคำถามนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปในพริบตา ความตื่นกลัวปรากฏขึ้นในหัวใจขณะถามว่า ท่านผู้เฒ่าเหลียว หรือว่าท่าน… พบเจอเบาะแสอะไร?
เหลียวหวังซูส่ายหน้าตอบว่า มิได้พบเจอ แต่ตราบใดที่ข้ายังไม่เห็นศพของหลินจิ้นหนานด้วยตาของตนเอง ข้าไม่มีทางเชื่อว่าเขาเสียชีวิตเด็ดขาด เพราะบุคคลผู้นี้มีความน่ากลัวมากเกินไป
หยิงอู๋จีก้มหน้าลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ตอนที่หลินเป่ยเฉินถูกตามล่าในฐานะนักโทษประหาร เขาคงต้องออกมาช่วยบุตรชายของตนเองแล้ว
แต่เจ้าจงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก็แล้วกัน
เหลียวหวังซูชงน้ำชาเพิ่มอีก 2 ถ้วย มอบให้แก่หยิงอู๋จีหนึ่งถ้วยพร้อมกับกล่าวอย่างแช่มช้า เรากลับมาคุยเรื่องก่อนหน้านี้กันดีกว่า ข้ารับประกันได้เลยว่าถ้าหลินเป่ยเฉินเสียชีวิตขึ้นมา หลิงไท่ซวีจะต้องสงสัยพวกเราแน่ เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเราเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการตายของเด็กหนุ่มคนนั้น
หยิงอู๋จีไม่พูดคำใด
เหลียวหวังซูยิ้มแย้มออกมาอีกเล็กน้อย องครักษ์หยิง งานนี้ไม่เหมาะกับเจ้าเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าดีกว่า หลินเป่ยเฉินสมควรตายจริงอยู่ แต่เขาควรตายอย่างไร? ตายด้วยน้ำมือของผู้ใด? ตายในเวลาไหน? เราต้องใส่ใจรายละเอียดเหล่านี้ให้มาก เราต้องวางแผนให้รอบคอบรัดกุม จะให้มีคนเชื่อมโยงพวกเรากับการตายของหลินเป่ยเฉินไม่ได้แม้แต่นิดเดียว และถ้าเราผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็สามารถตลบหลังพวกเราได้ตลอดเวลา
หยิงอู๋จีรับจอกน้ำชาไปกระดกดื่มจนหมดอีกครั้ง แล้วแต่ท่านผู้เฒ่าจะเห็นสมควรเถอะ ขอแค่เจ้าเด็กอวดดีนั่นตายไปได้ก็พอแล้ว
เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่หลินเป่ยเฉินขับไล่พวกเขาออกมาจากตำหนักไม้ไผ่อย่างไม่ไว้หน้า หยิงอู๋จีก็อยากจะถลกเนื้อเถือหนังเด็กหนุ่มออกมาเสียเดี๋ยวนี้
เขาไม่เคยเจอใครยโสโอหังเท่ากับหลินเป่ยเฉินมาก่อน
บอกตามตรงเลยนะ ถ้ามีทางเลือกอื่น ข้าก็ไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้เลย อย่าลืมว่าในอดีตบิดาของเขาเมตตาเจ้ากับข้าขนาดไหน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายในสายเลือดของหลินจิ้นหนาน ไม่สมควรต้องมาตายก่อนเวลาอันควรเลยจริงๆ พูดจบแล้ว ความรู้สึกเศร้าโศกชนิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเหลียวหวังซู
หยิงอู๋จีหัวเราะเยาะ เราจะส่งเจ้าเด็กเลวนั่นไปพบกับบิดาของมัน นี่เรียกว่าเป็นการช่วยเหลือพ่อลูกให้พบหน้ากันอีกครั้งต่างหาก ถือว่าพวกเราได้ตอบแทนบุญคุณหลินจิ้นหนาน ท่านไม่คิดว่านี่คือการยิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัวหรืออย่างไร?
หลังจากนั้น องครักษ์หนุ่มร่างสูงก็พลันดื่มน้ำชาถ้วยที่สามรวดเดียวหมดจอก เรียบร้อยแล้วเขาก็สวมหมวกปีกกว้างอีกครั้ง ลุกขึ้นก้าวเท้าไปหยุดยืนตรงประตูเล็กน้อย ก่อนพูดว่า ในเมื่อเรื่องนี้ท่านเป็นคนจัดการ ถ้าอย่างนั้น อีกเรื่องหนึ่งข้าจะจัดการเองก็แล้วกัน
แล้วร่างของเขาก็หายวับไป
ปรากฏลำแสงสายหนึ่งหายวาบไปบนท้องฟ้าของเมืองหยุนเมิ่ง
เหลียวหวังซูยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้มองออกไปนอกประตู ยังคงรินน้ำชาให้ตนเอง
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ดื่มอีกแล้ว
นิ้วมือของเขาเคาะไปบนจอกน้ำชาแผ่วเบา พลังลมปราณไหลรินลงไปสู่จอกน้ำชา แล้วควันสีขาวก็ลอยขึ้นมา สุดท้ายควันเหล่านั้นก็ตลบอบอวลทั่วค่ายพักแรมที่รกร้าง
น้ำชาอันตรธาน เป็นหนึ่งในสามน้ำชาที่โด่งดังที่สุดของจักรวรรดิเป่ยไห่
มันไม่ใช่เครื่องดื่มที่ดีที่สุด ไม่สามารถช่วยดับกระหายได้ดีที่สุด
แต่ประโยชน์ที่แท้จริงของมันก็คือเมื่อรับดื่มน้ำชาชนิดนี้เข้าไปแล้ว มันจะช่วยกลบร่องรอยพลังลมปราณของผู้ดื่มทิ้งไปได้อย่างหมดจด นั่นหมายความว่าถ้ามีคนมาตรวจสอบในค่ายพักแรมแห่งนี้ ก็จะไม่มีใครรู้เลยว่าเหลียวหวังซูกับหยิงอู๋จีเคยนั่งอยู่ตรงนี้มาก่อน
ผู้ตรวจการมณฑลสวมใส่เสื้อคลุมตัวยาว สุดท้ายก็เดินออกมาจากบ้านพักที่มีควันสีขาวลอยโขมง
อีก 10 วันต่อจากนี้จะเป็นการแข่งขันจตุรมิตรประจำมณฑลเฟิงอวี่ ปีนี้เจ้าภาพที่จัดงานคือเมืองหยุนเมิ่ง ไม่มีโอกาสไหนจะเหมาะสมมากกว่านี้อีกแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!
ชายชราพูดกับตนเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
หลังจากนั้น 20 ลมหายใจ ไอรีนโนเวล
ควันสีขาวจากจอกน้ำชาก็สลายหายไป
เช่นเดียวกับร่างของเหลียวหวังซู
ดวงตะวันยามบ่ายสาดแสงลงมาบนพื้นโลกอย่างเกียจคร้าน เงาของบ้านร้างทอดยาวไปไกลมากขึ้นบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่หนาแน่นรอบบริเวณไหวเอนไปมาตามสายลม ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ เหมือนไม่เคยมีใครแวะเวียนมาที่นี่สักคนเดียว