ดึกสงัด ทุกอย่างเงียบสงบ
ภายในสถานศึกษากระบี่ที่สาม
หน้าต่างบานหนึ่งในหอพักอาจารย์ยังคงมีแสงตะเกียงสว่างไสวออกมาจากด้านใน
ติงซานฉือนั่งอยู่บนเตียง ร่างกายปกคลุมด้วยหมอกควันสีขาว เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
ใบหน้าของชายชราบัดนี้ซีดขาวผิดธรรมชาติ
แล้วชายชราก็อ้าปากผ่อนลมหายใจออกมายาวแรง
ในลมหายใจนั้นมีกลิ่นเลือดเจือปนออกมาด้วย
คงไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้อีกแล้วสินะ…
ติงซานฉือขมวดคิ้ว
เขาปลดกระดุมเสื้อที่สวมใส่
แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามาลูบไล้เรือนร่างท่อนบนของอาจารย์ติง
มันทำให้ได้เห็นว่าร่างกายท่อนบนของเขามีผ้าพันแผลพันไว้ทั่วตัวราวกับเป็นมัมมี่ที่มีชีวิต
และบางจุดของผ้าพันแผลก็มีเลือดไหลซึมออกมาเป็นด่างดวงสีแดง
ติงซานฉือค่อยๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น
แล้วภาพที่ไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้น
บนลำตัวของชายชราเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่ทั้งเก่าและใหม่ พวกมันเป็นเหมือนตะขาบตัวใหญ่เลื้อยคลานอยู่ตามหน้าอกและแผ่นหลัง รวมถึงช่วงท้องและชายโครง ในขณะเดียวกันนั้น ก็มีบาดแผลสดใหม่อีกหลายตำแหน่งที่ยังคงไม่สามารถสมานตัวได้ จึงทำให้เห็นผิวหนังที่เหวอะหวะ สามารถมองเห็นได้ถึงกระดูกชายโครงที่อยู่ด้านใน…
ติงซานฉือแกะผ้าพันแผลทั้งหมดออกมา
อากาศที่หนาวเย็นยามราตรีกัดกินบาดแผลที่น่ากลัวเหล่านั้น
ชายชรานำผงยาสีทองที่เตรียมเอาไว้ โรยลงไปบนบาดแผลทีละนิด ทีละนิด
ดูเหมือนว่าหลังจากที่วางแผนการสอนให้เจ้าลูกเต่านั่นได้แล้ว เราก็คงต้องออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อหาสมุนไพรวิเศษมารักษาบาดแผลเหล่านี้แล้วสินะ
บนหน้าผากของติงซานฉือปรากฏหยาดเหงื่อผุดขึ้นมามากมาย
บาดแผลที่เกิดขึ้นสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับยอดปรมาจารย์ ยากต่อการรักษาเสมอ
นี่คือบาดแผลที่ติงซานฉือได้มาจากการแย่งชิงหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์
หญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์อายุ 500 ปี ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่ผู้คนทั่วดินแดนต่างก็ใฝ่ฝันถึง
มือกระบี่กลุ่มหนึ่งออกไล่ล่าตามหาหญ้าวิเศษชนิดนี้เป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือน ไม่ทราบเลยว่ามียอดฝีมือเข้าร่วมการตามหามากมายกี่คน และแต่ละคนนั้นแทบไม่มีผู้ที่อยู่ในขั้นปรมาจารย์เลยสักคน เพราะส่วนใหญ่ในคณะจะมีแต่ผู้ที่อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ขึ้นไปทั้งนั้น ติงซานฉือต้องต่อสู้อย่างหนักหน่วงและผ่านการหนีตายมาหลายครั้ง ก่อนที่จะสามารถนำหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์กลับมาส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ
แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ติงซานฉือได้แต่หวังว่าหลินเป่ยเฉินจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
แล้วเด็กหนุ่มจะได้รู้ว่าความน่ากลัวของไป๋ไห่ชินกับลูกศิษย์หนุ่มผมทองนั้น เป็นอะไรที่เล็กน้อยมากๆ
แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ชายชรารู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินเหลือเวลาอยู่อีกไม่มาก
การที่เขาใจร้อนวู่วามประกาศรับหลินเป่ยเฉินเป็นลูกศิษย์ ติงซานฉือไม่รู้เลยว่านั่นเป็นการคุ้มครองเด็กหนุ่มหรือเป็นการทำร้ายทางอ้อมกันแน่
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะปล่อยให้หลินเป่ยเฉินเดือดร้อนไม่ได้เด็ดขาด
เพราะฉะนั้น ถึงแม้ร่างกายจะยังไม่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บสาหัส แต่ติงซานฉือก็ยังปิดบังความจริงและเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นปกติ เขาถึงกับออกตามล่าผู้อาวุโสสวีไปสังหารที่นอกเมืองหยุนเมิ่งในคืนนี้
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้อาการบาดเจ็บกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
ติงซานฉือรู้ดีว่าตนเองคงไม่สามารถปิดบังอาการบาดเจ็บได้อีกนานเท่าไหร่นัก
ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะทันเวลาละนะ
ติงซานฉือถอนหายใจ และนำผ้าพันแผลผืนใหม่ออกมาพันรอบลำตัวของตนเองอย่างระมัดระวัง
ต่อจากนั้น เขาก็นำถุงใส่ของวิเศษสีแดงและกำไลหยกออกมาตรวจสอบ
ไม่น่าจะเปิดยากสักเท่าไหร่…
เอ๊ะ ค่ายอาคมส่วนใหญ่ก็ถูกเปลวไฟของหลินเป่ยเฉินทำลายไปเกือบหมดแล้วนี่…
เปลวไฟที่เด็กหนุ่มเป็นคนสร้างขึ้นมา สามารถทำลายได้แม้แต่อาคมพิเศษเช่นนี้ หรือว่าหลินเป่ยเฉินจะมีพลังแห่งจักรพรรดิมังกรไฟในตำนานจริงๆ?
ถ้าเป็นอย่างนั้น ประมาณเช้าวันพรุ่งนี้ เราก็น่าจะเปิดของทั้งสองชิ้นนี้ได้แล้ว
ติงซานฉือยิ้มกว้างในขณะที่เริ่มต้นหาวิธีเปิดปากถุงสีแดงและกำไลหยกต่อไป
…
ท่านพ่อขอรับ ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินเป็นหัวหน้านักบวชประจำเมือง เรื่องนี้ลูกคิดไม่ถึงเลยจริงๆ มิน่าเล่า เขาถึงได้กล้าสังหารพวกของอ๋องน้อยและใต้เท้าหนี่อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย และถ้าหากว่าเรื่องราวนี้แพร่กระจายออกไปถึงหูของท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันและบิดาของหนี่ฟู่กวงแห่งแคว้นซินจิน พวกเขาคงไม่ทนอยู่นิ่งเฉยแน่…
ณ จวนผู้ว่า
ฉุยหมิงโหลวกำลังพยายามรวบรวมสติอย่างสุดความสามารถและรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างในห้องทำงานส่วนตัวของบิดา
หลังจากที่ฉุยเฮาเฟิงได้รับฟังทั้งหมดแล้ว เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ เมืองหยุนเมิ่งนับว่าเป็นชุมชนเก็บมังกรซ่อนพยัคฆ์จริงๆ หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนทุกอย่างให้พลิกกลับตาลปัตรไปหมด ทุกครั้งที่ผู้คนเชื่อว่าเขาต้องถูกโจมตี แต่กลับกลายเป็นเด็กคนนี้นั่นแหละที่โจมตีผู้อื่น หลินเป่ยเฉินคือคนที่น่ากลัวที่สุดอย่างแท้จริง บิดาอ่านไม่ออกว่าเด็กคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ แม้แต่พี่สาวของเขาก็ยังไม่ร้ายกาจถึงขนาดนี้ เขาทำให้บิดานึกถึงหลินจิ้นหนานขึ้นมาจริงๆ แล้วสิ
แต่เรื่องราวคงไม่จบเพียงเท่านี้สิขอรับ ท่านพ่อ
ฉุยหมิงโหลวพูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจ เหตุการณ์ในครั้งนี้ ท่านอ๋องจากแคว้นไห่อันและท่านข้าหลวงใหญ่แห่งแคว้นซินจินคงไม่ยอมอยู่เฉย การล้างแค้นนองเลือดกำลังจะเกิดขึ้น พวกเราไม่มีทางหลีกหนีความรับผิดชอบได้เลย เพราะฉะนั้นแล้ว…
ฉุยเฮาเฟิงยิ้มกว้าง เจ้ากลัวว่าพวกเขาจะมาระบายความแค้นที่บิดา?
ใช่แล้วขอรับ
ฉุยหมิงโหลวตอบรับด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
ถ้าอย่างนั้น พวกเราพ่อลูกก็คงต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะยืนอยู่ข้างไหน
ฉุยเฮาเฟิงว่า
หืม?
ฉุยหมิงโหลวถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
ความขมขื่นปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเขาทันที
แม้แต่กับคนที่ยอมหักไม่ยอมงออย่างบิดา ก็ยังต้องเลือกข้างในที่สุดแล้วหรือ?
ฉุยหมิงโหลวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ใช่แล้วขอรับท่านพ่อ บัดนี้พวกเราทำได้เพียงเลือกข้างเท่านั้น… เดี๋ยวลูกจะเดินทางไปเข้าพบท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันและท่านข้าหลวงใหญ่แห่งแคว้นซินจินเอง ลูกเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกับอ๋องน้อยสวีแล้วก็ใต้เท้าหนี่ จะอย่างไรพวกเขาก็คงเห็นแก่หน้าลูกบ้าง…
ฉุยเฮาเฟิงมองหน้าบุตรชายด้วยความไม่อยากเชื่อ ใครบอกเจ้าว่าบิดาจะเลือกข้างพวกเขา?
ฉุยหมิงโหลวถึงกับตกตะลึงไปอีกครั้ง
ฉุยเฮาเฟิงกล่าวว่า คนพวกนั้นหาได้มีค่าในสายตาบิดาไม่… นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้ามีเวลาหนึ่งเดือนไปฝังตัวอยู่ในสถานศึกษากระบี่ที่สาม และหาทางตีสนิทหลินเป่ยเฉินให้ได้ ยิ่งเจ้าสนิทกับเขาได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น…
ตกลงว่าบิดาเลือกข้างหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือขอรับ
ฉุยหมิงโหลวเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ ทำไม… เพราะอะไรกัน?
ฉุยเฮาเฟิงยิ้มแย้ม ตอบว่า สัญชาตญาณ