สำนักมือปราบ
ห้องทำงานของหัวหน้าหน่วยมือปราบมีแสงสว่างวอมแวม
หยิงอู๋จีนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ใบหน้าซ่อนอยู่ใต้เงามืด จึงไม่มีใครสามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้
ที่แท้มันก็เป็นหัวหน้านักบวชนี่เอง เฮอะ…
แต่มารู้ตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว
ถ้าเรารู้ก่อนหน้านี้ ก็อาจจะ…
โชคร้ายที่ไม่มีทางให้ย้อนกลับไปได้อีกแล้ว
ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้เงามืดของหัวหน้าหน่วยมือปราบกำลังบิดเบี้ยวด้วยหลากหลายความรู้สึก
ไม่ว่าจะเป็นประหลาดใจ ลังเล หวาดกลัว และเศร้าใจ…
เช่นเดียวกับความโกรธแค้น ความเดือดดาล ความเก็บกดและความทุกข์ทน
หลินเป่ยเฉินเอ๋ยหลินเป่ยเฉิน วันตายของเจ้ามาถึงแล้ว
อย่าหาว่าท่านอาคนนี้ใจร้ายเกินไปเลยนะ นับว่าเจ้ารนหาที่เองแท้ๆ
หากเจ้ายอมให้ความร่วมมือแต่แรกโดยดี หรือถ้าเจ้ายอมบอกว่าตนเองเป็นหัวหน้านักบวช ผู้เฒ่าเหลียวกับข้าก็คงไม่ทำกับเจ้าเช่นนี้หรอก… แต่บัดนี้ ทุกอย่างไม่อาจหวนคืนได้อีกแล้ว ดังนั้น เจ้าจงตายเสียเถิด
หึหึ แต่เป็นถึงหัวหน้านักบวชก็ดี ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจยอดเยี่ยมมากกว่าเดิมก็ได้
หยิงอู๋จีระเบิดเสียงหัวเราะในห้องทำงานที่ว่างเปล่า
เสียงหัวเราะของเขาดังกึกก้องกังวานราวกับว่าภายในตัวมีปีศาจร้ายที่อยากจะกระโจนออกมาอาละวาดที่โลกภายนอกเต็มทีแล้ว
ก๊อกก๊อกก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เข้ามาได้
ใต้เท้าขอรับ นี่คือรายงานคดีที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งคืนนี้ ด้านในบรรจุไว้ด้วยศิลาบันทึกภาพ และคำให้การของพยานรู้เห็นทั้ง 24 คน รวมถึงรายละเอียดการเสียชีวิตของผู้ตาย รายงานทั้งหมดนี้ ข้าน้อยได้สั่งทำสำเนาเป็นสองชุดตามที่ใต้เท้าสั่งทุกประการเลยขอรับ
ดีมาก ออกไปได้แล้ว
ขอรับ
หยิงอู๋จีมองกองรายงานสองกองใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
เขาเอื้อมมือออกไปหยิบม้วนกระดาษม้วนหนึ่งขึ้นมากางออกดูอย่างระมัดระวัง
หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าข้อมูลด้านในถูกต้อง มือปราบหนุ่มก็ยิ้มออกมาอย่างแช่มช้า
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็จัดการฉีกม้วนกระดาษออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย เศษกระดาษร่วงหล่นลงจากฝ่ามือ กองรวมกันเหมือนเศษข้าวที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะทำงาน
หยิงอู๋จีกวาดเศษกระดาษเหล่านั้นใส่ถุงเก็บของใบเล็ก
จากนั้น เขาก็เริ่มทำแบบเดียวกันนี้กับม้วนกระดาษอื่นๆ
ม้วนรายงานคดีเหล่านี้ถูกแบ่งแยกออกเป็น 11 ฉบับ ตามชื่อของผู้เสียชีวิตซึ่งประกอบไปด้วยสวี่หวั่นหลัว หนี่ฟู่กวง และผู้ติดตามคนอื่นๆ มันเป็นรายงานที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งค่ำคืนนี้
หยิงอู๋จีเก็บเศษกระดาษของแต่ละม้วนอย่างระมัดระวังยิ่ง
ไม่นานต่อมา บนโต๊ะทำงานของเขาก็ปรากฏถุงใส่ของขนาดเล็ก 11 ใบ วางเรียงกันเป็นแถวยาว
เจ้าหน้าที่
ใต้เท้า ข้าน้อยพร้อมรับคำบัญชา
เจ้าหน้าที่มือปราบคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
หยิงอู๋จียกมือโบกสะบัด
แล้วถุงผ้าที่เก็บเศษม้วนรายงานการเสียชีวิตของสวี่หวั่นหลัว ก็ลอยตรงเข้าไปในมือของเจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้น
รีบส่งไปให้ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันโดยด่วนที่สุด
รับทราบขอรับ
เจ้าหน้าที่มือปราบก้าวถอยหลัง ก่อนหมุนตัวเดินจากไป
เจ้าหน้าที่
ใต้เท้า ข้าน้อยพร้อมรับคำบัญชา
ไม่นานต่อมา เศษม้วนกระดาษทั้ง 11 ฉบับในถุงผ้า ก็ถูกแจกจ่ายไปในลักษณะนี้
เจ้าหน้าที่มือปราบทุกคนต้องนำถุงผ้าไปส่งให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง
เงามืดบนใบหน้าของหยิงอู๋จีสลายหายไปเล็กน้อย
บัดนี้ หยิงอู๋จีจึงมีใบหน้าที่อยู่ในแสงสว่างครึ่งหนึ่งและอยู่ในเงามืดอีกครึ่งหนึ่ง
ใบหน้าครึ่งที่อยู่ในแสงจันทร์กำลังมีดวงตาเป็นประกายแวววาว ทำให้ชายหนุ่มผู้ที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยมือปราบประจำมณฑล ดูน่าเกรงขามและน่าหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
ส่วนใบหน้าครึ่งที่อยู่ในเงามืดมีเพียงดวงตาเป็นประกายแวววาวออกมาเท่านั้น และนั่นก็ก่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนเป็นดวงตาของปีศาจร้ายที่สิงสู่อยู่ในเงามืด คอยจ้องมองโลกมนุษย์เพื่อหาโอกาสเล่นงานอยู่ตลอดเวลา
…
หอนางโลมบ้านบุปผา
ค่ำคืนนี้ช่างสวยงาม
อาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวีกำลังจัดงานเลี้ยงให้แก่ตนเอง
เขาสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีขาวที่ทำจากผ้าไหมจันทรา ซึ่งเป็นผ้าไหมคุณภาพดีที่สุดในจักรวรรดิ อกเสื้อเปิดออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อกำยำและผิวสีน้ำตาลเข้ม บัดนี้ชายชรามีสาวงามประกบสองข้างซ้ายขวาคอยนวดหลังนวดไหล่ ส่วนบนตักก็ยังมีสาวงามอีกคนคอยป้อนเครื่องดื่มและขนมไม่ได้ขาด
นอกจากนี้ ด้านหน้าก็ยังมีสาวงามอีกคู่กำลังเต้นระบำอย่างสวยงามเฉิดฉาย
สองข้างฝั่งของห้องจัดเลี้ยงมีสาวงามอีกหลายสิบชีวิตรับหน้าที่บรรเลงผีผา เป่าขลุ่ยไม้ไผ่ และขับร้องบทเพลงไพเราะเสนาะหู…
ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง บรรยากาศเหมือนกับว่าหลิงไท่ซวีอยู่ท่ามกลางนางฟ้านางสวรรค์ก็ไม่ปาน
ทุกคนอยู่ในสภาพเมามาย
ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก… มามะ คนสวย มาดื่มกับผู้เฒ่าหน่อยเป็นไร
หลิงไท่ซวีชูถ้วยทองคำในมือขึ้นอย่างเริงร่า
บรรดาสาวงามที่รายล้อมอยู่รอบกายตอบรับอย่างเร็วไว
การเคลื่อนไหวของพวกนางชดช้อยอ่อนหวานราวกับเป็นเทพธิดาจากสวรรค์
แต่แล้วในทันใดนั้นเอง…
วูบ!
ประกายกระบี่สีขาวพุ่งแหวกอากาศเข้ามา
หลิงไท่ซวีที่อยู่ในสภาพเมามายและไม่น่าจะระวังตัวได้ พลันยกมือขึ้นมาในทันใด
แล้วมีดบินเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
ด้านจับของมีดบินรัดพันไว้ด้วยม้วนกระดาษสีม่วงอ่อนแผ่นหนึ่ง
ชายชราแกะม้วนกระดาษออกมาดู ปรากฏว่าบนนั้นเขียนข้อความบางอย่างเอาไว้
เมื่ออ่านดูแล้ว ใบหน้าของหลิงไท่ซวีก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างแช่มช้า ไม่ต่างจากตาน้ำที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจนกลายเป็นบ่อน้ำใหญ่ในที่สุด…
เจ้าเด็กคนนี้… น่าเหลือเชื่อจริงๆ
หลิงไท่ซวีนำม้วนกระดาษสีม่วงขึ้นดมฟุดฟิด ก่อนอุทานออกมาว่า ช่างสมกันเป็นกิ่งทองใบหยก หุหุ เพียงแค่กลิ่นยังหอมยวนใจขนาดนี้ ตัวจริงจะเย้ายวนใจขนาดไหน นับได้ว่ายิ่งมายิ่งน่าตื่นเต้นเหลือเกิน…
คำชื่นชมของชายชราทำให้นางคณิกาที่อยู่รายล้อมแสดงความไม่พอใจออกมาทันที
ไม่อยากเชื่อเลยว่านายท่านจะนำกระดาษแผ่นนั้นขึ้นไปสูดดม
เดี๋ยวก่อนสิ…
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลิงไท่ซวีใช้เงินหมดไปกับการเข้าออกหอนางโลมชั้นนำภายในตัวเมือง ปกติแล้วนางคณิกาชั้นสูงเหล่านี้จะออกรับแขกก็ต่อเมื่อเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น พวกนางมักได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงไท่ซวี ชายชราก็สามารถสลัดทิ้งพวกนางได้เหมือนกับเป็นวิญญาณที่ไร้ตัวตน
ไม่ต้องเรียกนายท่าน แต่โปรดเรียกข้าว่าท่านผู้เฒ่า
หลิงไท่ซวีระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจ ก่อนโน้มกายเข้าไปสูดดมกลิ่นนางคณิกาทีละคนจนครบถ้วน
เป็นจังหวะเดียวกับที่เกิดเสียงอุทานและเสียงต่อสู้ดังขึ้นมาจากชั้นล่างพอดี
แล้วก็มีใครคนหนึ่งคำรามว่า ในนามของหอการค้าสามพันโยชน์ เหตุไฉนหอนางโลมบ้านบุปผาของพวกเจ้าถึงไม่รับแขก? เงินของข้าไม่มีค่าในสายตาของพวกเจ้าหรืออย่างไร? เฮอะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม วันนี้พวกเจ้าต้องมอบคำอธิบายให้ข้าพอใจให้ได้
หลิงไท่ซวีถอนหายใจ ขนาดหลีกหนีมาดื่มสุราเคล้านารี ชีวิตก็ยังมีอุปสรรคขัดขวางความสุข เหตุไฉนสวรรค์ถึงได้กลั่นแกล้งข้าขนาดนี้?
นางคณิกาผู้รับหน้าที่นวดขมับให้ชายชรามีนามว่าฉิงลี้จวน นางมีอายุเพียง 18 – 19 ปีเท่านั้น ร่างกายมีพลังลมปราณแผ่วเบา เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงไท่ซวี หญิงสาวก็กล่าวว่า กราบเรียนนายท่าน ปัญหาเรื่องนี้ให้ข้าน้อยลงไปจัดการเอง
รบกวนเจ้าแล้วนะ